สวัสดี บุคคลทั่วไป

เลือกแอร์เช่นใด เพื่อให้ประหยัดเงินทองในกระเป๋ามากที่สุด

  • 0 ตอบ
  • 256 อ่าน
พออากาศมันร้อน มันก็เลยต้องค้นหาวิธีมาหายร้อนกันสักหน่อย คนชอบบริโภค ก็หาอะไรรับประทานดับร้อนกันไป แต่หากใครต้องการอากาศที่ที่พักอาศัยไม่ร้อนเหมือนกับนรก ก็คงจำเป็นต้องพึ่งพา "แอร์" หรือว่า "เครื่องปรับอากาศ" นั่นเอง แต่หากใช้งานแอร์ บางท่านก็คงจะต้องลำบากใจด้านเรื่องของค่าใช้จ่ายค่าไฟฟ้าที่มันจะไล่ตามมาภายหลัง แต่ว่าเราจะมีเกณฑ์การตัดสินใจซื้ออย่างใด เพื่อจะได้ทั้งของน่าพอใจ แล้วก็ยังประหยัดด้วย ไปดูกันเลย
ข้อแรกทุกคนจะต้องคิดถึงชนิดของเครื่องปรับอากาศต้องให้เหมาะสมกับสถานที่กับการทำงาน เพราะปัจจุบันนั้นมีหลายหลากแบบให้เลือกหา โดยแต่ละอย่างก็มีคุณสมบัติต่างกันไป ถ้าสมมติเลือกซื้อผิดนั้น ก็อาจจะทำให้ก่อให้เกิดโทษต่อแอร์ และยังส่งผลให้เสียพลังงานไปโดยใช่เหตุ หลักๆ แล้ว เครื่องปรับอากาศจะแบ่งเป็นหลายประเภท อย่างเช่น เครื่องปรับอากาศติดกำแพง, แอร์ตั้งพื้น, แอร์ติดฝ้าเพดาน และ เครื่องปรับอากาศเคลื่อนที่ โดยแต่ละประเภท มีรูปลักษณ์อย่างไรบ้าง ไปพิจารณากันเลย
อย่างแรกเป็นแอร์ติดผนัง ซึ่งแอร์อย่างนี้ เป็นที่ใช้มากกันอยู่แล้ว หรือไม่ก็คงจะคุ้นชินกันอยู่เสมอๆ นั่นแหละ ซึ่งใช้งานที่หลากหลาย มีลักษณะการออกแบบที่ตามสมัยนิยม รวมถึงก็มีขนาดกะทัดรัด แล้วยังยังช่วยลดการใช้ไฟฟ้า รวมถึงสามารถดูแลรักษาง่าย เพราะแอร์ประเภทนี้ เหมาะสำหรับห้องพื้นที่น้อย หรือบ้านเรือน หรือว่าคอนโดธรรมดา อาจจะตรงตามกับความอยากกับการใช้งานได้แบบหลากหลายรูปแบบ
ต่อมาคือเครื่องปรับอากาศตั้งพื้น โดยที่แอร์รุปแบบนี้เป็นประเภทที่มีการแผ่กระจายความเย็นฉ่ำได้มาก สามารถสร้างความเย็นได้อย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งทนทานต่อการใช้งาน รวมถึงทนต่อมลพิษอีกด้วย โดยที่ประเภทของเครื่องปรับอากาศจะเป็นประเภทติดตั้งที่พื้น เหมาะกับห้องที่มีพื้นที่ใหญ่ โรงงาน และมีประชากรหนาแน่น  ซึ่งแอร์อย่างนี้จะทำงานใช้อึกทึก เลยส่งผลให้เปลืองไฟฟ้ากว่าแอร์อย่างอื่นๆ
ประเภทถัดมาเป็นชนิดเครื่องปรับอากาศฝังฝ้าเพดาน ซึ่งประเภทนี้จะคือเครื่องปรับอากาศ 4 ทิศทาง ตัวเครื่องแอร์ ท่อน้ำยา รวมถึงท่อน้ำเสีย สามารถติดข้างในฝ้าเพดาน ช่วยให้สามารถคงรูปทรงความประณีตของห้องได้ตามเดิม ลดขีดจำกัดในการติด ซึ่งเหมาะสำหรับห้องที่ต้องการในเรื่องความสวยหรู ช่วยให้ในบ้านประณีตเหมือนเดิม  แต่ว่าแอร์แบบนี้มักจะราคามักจะสูงมากกว่าแอร์ลักษณะอื่นๆ
ส่วนแบบท้ายที่สุดก็คือแอร์เคลื่อนที่ โดยที่เครื่องปรับอากาศลักษณะนี้จะไม่ยุ่งยากคล้ายกับชนิดก่อนหน้า เพราะว่าเพียงเสียบปลั๊ก ก็ใช้งานได้เลย เพราะว่าเครื่องปรับอากาศชนิดนี้ใช้งานได้แบบเดียวกันกับเครื่องปรับอากาศบ้านธรรมดา แต่ว่าไม่เหมือนประเภทอื่นก็ตรงที่สามารถขนย้ายได้ รวมทั้งก็ไม่จำเป็นต้องติดเข้ากับตัวบ้านด้วย เหมาะสมกับผู้ที่อยู่หอพัก อพาร์ตเมนต์ คอนโดมิเนียม ทำนุบำรุงก็ง่ายดาย เหมือนกับเครื่องปรับอากาศทั่วๆ ไปเลย
กลับมาที่หลักเกณฑ์การตัดสินใจซื้อกันต่อ ต่อมาก็ต้องเลือกซื้อขนาดแอร์ให้เข้ากันกับพื้นที่ห้อง เพราะว่าถ้ารู้ขนาดห้องแล้วนั้น ทำให้สะดวกกับการซื้อขนาดของเครื่องปรับอากาศและการคำนวณค่า BTU นั่นเอง เพื่อให้พอเหมาะกับการทำงานและช่วย
ประหยัดพลังงาน ซึ่งหลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่า BTU คืออะไร โดยมันคือ ขนาดสร้างความเย็นของแอร์ โดยย่อมาจากคำว่า British Thermal Unit โดย 1 ตันความเย็น จะเท่ากับ 12000 BTU ต่อชั่วโมง ฉะนั้นการซื้อ BTU จึงมีความจำเป็น ก็เพราะว่าจะเกี่ยวข้องกับ การประหยัดพลังรวมทั้งอายุการทำงานของเครื่องปรับอากาศนั่นเอง ถ้าหากตัดสินใจเครื่องปรับอากาศที่มี BTU มากเกินไป ก็ทำให้ใช้งานของคอมเพรสเซอร์ตัดบ่อย เนื่องจากมีการทำความเย็นได้อย่างรวดเร็ว จะทำให้ความสามารถข้างในถดถอย และยังมีผลให้ให้มีความชื้นภายในห้องมาก อาจทำให้ผู้ที่อยู่อาศัยป่วย หรือเจ็บป่วยได้ แล้วยังทำให้สิ้นเปลืองพลังงานอีกด้วย หรือหากซื้อแอร์ที่มี BTU น้อยเกินไปก็จะส่งผลต่อคอมเพรสเซอร์ทำงานตลอดเวลารวมถึงมากจนเกินไป  ก็เพราะว่าอุณหภูมิความเย็นไม่ตรงกับที่ปรับหรือกำหนดไว้  ซึ่งจะมีผลให้เป็นเหตุให้แอร์เสียได้ง่าย แล้วยังสิ้นเปลืองพลังงานอีกด้วย
                ถัดไปจะเป็นหลักง่ายๆ เกินที่ไม่ว่าใคร ก็คงจะทำให้ตัดสินใจเลือกแน่นอน นั่นก็คือ การตัดสินใจซื้อแอร์ที่ได้สลากประหยัดไฟเบอร์ 5 เพราะนั่นหมายความว่า คุณภาพในการใช้ไฟฟ้าที่คุ้มที่สุด ซึ่งจะช่วยประหยัดไฟฟ้าและประหยัดเงินได้นั้นเอง

Tags : แอร์,เครื่องปรับอากาศ,แอร์ ราคา