สวัสดี บุคคลทั่วไป

วิธีเลือกหนังสือเด็กให้เหมาะสมกับวัย

  • 0 ตอบ
  • 362 อ่าน

 
ไม่มีผู้ใดปฏิเสธว่าหนังสือเป็นสิ่งที่ดีสำหรับเด็ก ตั้งแต่ปี 2014 ธุรกิจหนังสือเด็กเติบโตในอัตราที่สูงมากและทิศทางยังคงพุ่งขึ้นต่อไปเรื่อยๆ เรามีตัวเลขยืนยันความอะเมซิ่งของหนังสือกลุ่มนี้ได้ อย่างตลาดหนังสือเด็กในอังกฤษปี 2014 มีมูลค่า 332.2 ล้านปอนด์ มากขึ้น 7% ในปี 2015 แถมสูงขึ้นไปอีก 7% สู่ 379.5 ล้านปอนด์ในปี 2016
 
เทคนิคการเลือกหนังสือสำหรับเด็ก
 
แรกเกิด - 1 ขวบ
 
เด็กทารกที่ได้ฟังคนอ่านหนังสือให้ฟัง จะได้รับความสนุกจากการได้ยินเสียงแล้วก็มีความสุขจากการถูกอุ้มไว้ พ่อแม่ที่เริ่มอ่านหนังสือให้เด็กแรกคลอดฟังตั้งแต่กำเนิด มักอ่านตลอดจนโต ทำให้เด็กโตขึ้นเป็นคนรักการอ่าน
การเลือกหนังสือให้เด็กแรกคลอด เมื่อเด็กอ่อนอายุ 6 เดือน จะเริ่มสนใจหนังสือสีแจ่มใส โดยเริ่มเอามือสัมผัสที่หนังสือ แล้วก็ส่งเสียงคำราม หรือ จับหนังสือ โบกหนังสือไปๆมาๆ ฟาดหนังสือ เอาหนังสือเข้าปาก หรือ ส่งเสียงตื่นเต้น
 
หนังสือที่เหมาะสม คือ หนังสือเล่มแข็งแรงทนทานที่มีรูปภาพสีแจ่มใส หรือ รูปเด็ก หนังสือบทกวี ตอนที่บางคนอาจชอบหนังสือที่คุณอ่าน แม้กระนั้นควรจะอ่านออกเสียงสลับกับการหยุดพูดคุยกับเด็กแรกคลอดเสมอๆตอนวัยนี้เด็กทารกยังไม่เข้าใจภาษา แม้กระนั้นชอบฟังเสียงต่างๆ
เมื่ออายุ 9 เดือน เด็กแบเบาะเริ่มแสดงความอยากได้ของตนเอง ยกตัวอย่างเช่น อยากรับประทานอาหารเอง ต้องการถือหนังสือรวมทั้งอ่านเอง แม้ลูกไม่ยินยอมให้ท่านถือหนังสือ ให้ท่านตระเตรียมหนังสือให้ลูกถือเองเล่มหนึ่ง แล้วก็คุณถืออีกเล่มหนึ่ง อ่านในสั้นๆหาหนังสือให้ลูกไว้ถือเล่น เปิดเล่น หรือ ใช้ฟาดตามแต่ต้องการ
 
1-2 ขวบ
 
เมื่ออายุ 12-15 เดือน เด็กแรกเกิดบางทีอาจตั้งใจถือหนังสือกลับหัวกลับหาง ช่วง 18 เดือน เด็กแบเบาะอาจเปิดหนังสือจากด้านหลังมาด้านหน้า
วัยกระเตาะกระแตะส่วนใหญ่รักการเคลื่อนไหว ส่วนผู้ที่ยังเดินมิได้ ชอบการโยก การจั๊กจี้ และการกอดช่วงเวลาที่ฟังบิดามารดาอ่าน ส่วนเดินได้แล้ว อาจนั่งฟังได้นานเพียง 2-3 นาที แม้กระนั้นยังชอบที่จะฟังไปเดินเล่นไปด้วย เด็กวัยนี้ชอบถือหนังสือเดินไปมาและเอามาให้ผู้ใหญ่อ่านให้ฟัง
เพื่อหลีกเลี่ยงการถกเถียง ควรจะวางหนังสือไว้ในตำแหน่งที่ลูกถือออกมาแล้วก็เก็บเข้าที่ได้เอง ควรจะวางหนังสือให้ลูกเลือกครั้งละ 3-4 เล่มเพียงแค่นั้น เพราะว่าหนังสือยิ่งมาก ยิ่งเลือกยากแล้วก็คุณจำต้องเสียเวลาเก็บจากพื้นของห้อง ให้เข้าที่เข้าทางเก็บหนังสือเป็นเวลานานมากขึ้น
เมื่ออายุ 18 เดือน เด็กเดินได้คล่องแคล่วแล้ว กิจกรรมที่ชื่นชอบเป็นการถือหนังสือเดินไปทั่วๆแล้วก็ลูกเริ่มทำความเข้าใจแล้วว่า หนังสือเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการเรียกร้องความสนใจจากผู้ใหญ่ได้ โดยการเลือกหนังสือแล้วเดินไปนั่งที่ตักบิดามารดา แล้วกล่าวว่า "อ่านให้ฟังหน่อย"
เมื่ออายุ 2 ขวบ ลูกเริ่มรู้เรื่องภาษาเพิ่มมากขึ้น หนังสือช่วยให้รู้จักสิ่งต่างๆพ่อแม่ชี้รูปที่อยู่ในหนังสือรวมทั้งถามลูกว่าเป็นรูปอะไร รอคำตอบ และหลังจากนั้นก็ค่อยเฉลยคำตอบ หรือยกย่อง ถ้าลูกตอบได้ถูก หรือถ้าหากลูกตอบไม่ถูก ให้สอนคำตอบที่ถูกต้อง
เด็กวัยนี้จดจำเรื่องราวต่างๆได้มากขึ้น หนังสือประเภทกวี คำคล้องจองจะเหมาะสำหรับเด็กวัยนี้ ทั้งชอบสัตว์ทุกชนิด ควรต้องหาหนังสือที่มีภาพสัตว์หรือภาพคน มีอักษรตัวโตๆมาอ่านให้ฟัง ควรจะเป็นหนังสือกระดานบุ๊คที่ทำมาจากกระดาษแข็ง คงทน ด้วยเหตุว่าเปิดง่าย ควรจะปล่อยให้ลูกได้ตรวจหนังสือ รวมทั้งกลับหน้ากระดาษเอง โดยบิดามารดาแสดงแนวทางเปิดหน้าหนังสือที่ถูกให้ดูก่อน ไม่ช้าเจ้าตัวเล็กจะคว้าหนังสือมากลับดูซ้ำแล้วซ้ำอีก หรือไม่ก็ทำท่าอ่านหนังสือให้ตุ๊กตาตัวโปรดฟัง
 
2-3 ขวบ
 
ช่วงวัย 2-3 ขวบ ลูกสามารถใช้ภาษาติดต่อสื่อสารกับคนอื่นๆได้อย่างเข้าใจแล้วก็ดีมากขึ้น บอกเป็นประโยคสั้นๆได้แล้ว แล้วก็มีความเป็นตัวของตัวเองมาก ต้องการทำทุกสิ่งทุกอย่างด้วยตนเอง อาทิเช่น กินข้าวเอง แต่งตัวเอง เลือกเสื้อผ้าเอง
 
วัยนี้เป็นวัยที่เด็กๆกำลังเข้าเตรียมอนุบาล เป็นวัยที่มีการปรับนิสัยอย่างมาก โดยเฉพาะเรื่องของระเบียบและการช่วยเหลือตัวเอง ควรหาหนังสือที่มีรายละเอียดเกี่ยวโยงกับสิ่งรอบข้างรวมทั้งกิจวัตรประจำวันง่ายๆ ที่ลูกสามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ตัวอย่างเช่น การแต่งตัว การแปรงฟัน และก็การเข้าสุขา การมีวินัย การทำสิ่งดีงาม ส่งเสริม IQ, EQ, MQ เช่น บึ้กซ่าขี้โมโห กุ๋งกิ๋งปวดฟัน หนูไม่เคยลืม ฯลฯ มาอ่านกับลูกๆเนื่องจากว่าการสอนที่ให้เด็กได้เห็นภาพอย่างเป็นรูปธรรม แถมยังสนุกแบบนี้ จะมีผลให้เขามีการเรียนรู้ได้ดีกว่าการถูกติเตียนหรือถูกอบรมในช่วงเวลาที่ตัวเขาเองทำผิดเป็นไหนๆ
 
4-6 ขวบ
 
วัยนี้มีจินตนาการเลิศล้ำ มั่นใจว่ามีคาถาวิเศษ เชื่อว่าความสุขทำให้ดวงตะวันเปล่งแสง หรือ ซานตาคลอสมีจริง ดังนั้นเด็กวัยนี้จึงชอบการอ่านนิทาน วิธีสนุกสนานกับการอ่านหนังสือให้ลูกวัยนี้ ทำได้โดย
 
- มีหนังสือเอาไว้ในทุกๆที่ในบ้าน ตัวอย่างเช่น ห้องนั่งเล่น สุขา ห้องอาหาร ห้องนอน
- จัดเวลาก่อนนอนหรือตอนเช้าหลังตื่นนอน ตรงเวลาอ่านหนังสือด้วยกัน
- หยุดอ่าน เมื่อคุณหรือลูกต้องการหยุด (ลูกหลับหรือไม่ตั้งใจฟัง)
- จำกัดเวลาการดูทีวี เพราะว่าการดูทีวีทำลายจินตนาการของเด็ก และก็ทำให้ไม่ว่างเหลือสำหรับในการอ่านหนังสือ
- พาลูกไปห้องสมุด แทนที่จะพาไปเดินห้าง
- ให้ลูกมีส่วนร่วมสำหรับในการอ่าน ได้แก่ ถามความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องราวหรือตัวละคร
- ทดลองให้ลูกช่วยคุณแต่งนิทานและก็อ่านร่วมกัน
 
ตอนวัยนี้เป็นตอนเวลาที่โลกใบเล็กของลูกขยายกว้างจากรั้วบ้านออกไปสู่สังคมภายนอก นอกเหนือจากการส่งเสริมประสบการณ์ในบ้าน ที่บิดามารดาสามารถใช้กิจวัตรประจำวันเป็นหนทางสำหรับเพื่อการสอนอย่างเป็นธรรมชาติแล้ว บิดามารดายังจำเป็นต้องเตรียมตัวให้ลูกมีทักษะสำหรับเพื่อการช่วยเหลือตนเองเยอะขึ้น เพื่อจะใช้ชีวิตในสังคมโรงเรียนได้เป็นอย่างดี
 
6 ขวบขึ้นไป
 
วัยนี้ก็คือเด็กวัยประถมนั่นเอง เด็กวัยนี้เริ่มอ่านหนังสือได้เองแล้ว และก็มีช่วงความสนใจนานขึ้น ด้วยเหตุนี้ หนังสือที่เด็กๆในวัยนี้จะเริ่มมีความสนใจเป็นพิเศษก็คือ หนังสือที่เกี่ยวข้องกับความรู้รอบตัวนั่นเอง ตัวอย่างเช่น ประวัติศาสตร์ วิทยาศาสตร์ โลกใต้ทะเล อวกาศ ฯลฯ
การอ่านออกเสียงให้ลูกฟังยังทำได้ในเด็กวัยนี้ เพราะเหตุว่าเป็นการช่วยทำให้คุณและก็ลูกได้มีเวลาที่เป็นสุขร่วมกัน ทำให้ความสัมพันธ์เหนียวแน่น ลดความเครียดจากข้อคิดเห็นที่มีความขัดแย้ง ซึ่งคือเรื่องธรรดาเมื่อลูกโตขึ้น
การอ่านหนังสือให้ลูกฟัง ยังช่วยให้ลูกสนใจอ่านหนังสือที่ยากเกินความสามารถของเขา จวบจนกระทั่งจะถึงวัยที่เขาเริ่มอ่านได้ด้วยตัวเอง รวมทั้งยิ่งช่วยมากขึ้น หากลูกเป็นเด็กที่มีปัญหาสำหรับเพื่อการอ่าน เพราะเหตุว่าเด็กแต่ละคนมีความรู้และความเข้าใจสำหรับในการอ่านเอง ช้าเร็วแตกต่างกัน บางคนอ่านก้าวหน้าตั้งแต่ประถมหนึ่ง แม้กระนั้นบางคนบางทีอาจช้าไปอีกสองปี แม้จะมีความฉลาดเท่ากันก็ตาม เด็กที่อ่านได้ช้ากว่า ถ้าหากมีพ่อแม่คอยอ่านหนังสือให้ฟัง อาจช่วยทำให้เขารักแล้วก็เป็นสุขกับการอ่าน
การอ่านหนังสือให้ลูกฟัง ยังช่วยพัฒนาความรู้ความเข้าใจในการฟัง ควรจะอ่านและหยุดเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับเนื้อเรื่องให้ลูกเข้าใจ เป็นภาษาที่ลูกรู้เรื่องได้ง่าย และมีการเสนอคำถามเพื่อให้ลูกตอบ และก็ให้ลูกลองคาดเดาเนื้อเรื่องตอนต่อไป
 
นิทานอีสป
 
อีสป (Aesop) เป็นนักเล่านิทานหรือนักเล่าเรื่องชาวกรีกโบราณ ซึ่งนับได้ว่าเป็นเจ้าของนิทานจำนวนหนึ่งซึ่งปัจจุบันนี้รู้จักกันรวมๆว่า นิทานอีสป แม้การดำรงอยู่ของเขาจะยังไม่แน่ชัด และไม่มีงานเขียนของเขาเหลือรอดมาเลย (หากมี) แม้กระนั้นนิทานจำนวนไม่น้อยซึ่งถือได้ว่าของเขาถูกเก็บตลอดหลายศตวรรษในหลายภาษาในจารีตประเพณีการเล่าเรื่องซึ่งดำเนินมาจวบปัจจุบัน นิทานหลายเรื่องใช้สัตว์หรือวัตถุไม่ใช่สัตว์ที่สามารถพูด แก้ไขปัญหา และโดยทั่วไปมีคุณลักษณะอย่างมนุษย์
เนื้อหาชีวิตของอีสปที่กระจัดกระจายสามารถเจอได้ในแหล่งข้อมูลโบราณ รวมทั้งอริสโตเติล เฮโรโดตัส แล้วก็พลูทาร์ก งานวรรณกรรมโบราณชื่อ The Aesop Romance เล่าชีวิตอีสปเป็นตอนๆรวมทั้งบางทีอาจเป็นฉบับที่เป็นนิยายอย่างสูง ซึ่งรวมถึงคำอธิบายเขาแต่เดิมว่าเป็นทาสที่น่ารังเกียจสะดุดตา ซึ่งได้รับอิสรภาพของตนมาด้วยความฉลาด รวมทั้งเปลี่ยนเป็นผู้มอบข้อคิดเห็นแด่พระราชา และก็นครรัฐต่างๆประเพณีสมัยหลัง (ซึ่งมาจากสมัยกลาง) พรรณนาอีสปว่าเป็นชาวเอธิโอเปียผิวดำ
 
ตัวละคร นิทานอีสป?
ตัวละครของนิทานอีสป มักจะเป็นสัตว์ที่เป็นตัวชูโรงโดยสัตว์จะกระทำและก็คุยราวกับคน แต่จะรักษาลักษณะของสัตว์ชนิดนั้นๆไว้ อาทิเช่น เสือดุร้าย ลาโง่เขลาอืดอาด หมาป่าเจ้าเล่ห์
จุดเด่น นิทานอีสป?
นิทานอีสป เป็นเรื่องราวที่เป็นที่รู้จักและก็ให้ความบันเทิงที่ดีสำหรับเด็ก นิทานหรือเรื่องราวทั้งหมดที่สั้นมากๆเพื่อให้เด็กให้ความสนใจ รวมทั้งมีสัตว์เป็นตัวเอกของเรื่องซึ่งสัตว์ที่รักของเด็กๆ
 
การเปรียบเทียบของนิทานอีสป
ตัวละครส่วนใหญ่ของอีสปเป็นสัตว์ เขาเปรียบเทียบให้ สุนัขจิ้งจอก ชอบเป็นคนเจ้าเล่ห์ สิงโตหรือราชสีห์ มักจะหมายถึงเป็นผู้แทนของผู้มีอิทธิพล คนบุญหนักศักดิ์ใหญ่ ผู้ดูแล หนููเป็นผู้ต่ำต้อย ลา มักจะเป็นคนที่ด้อยสติปัญญา เป็นต้น
 
การฝึกฝนความสามารถการลากเส้นต่อจุด
 
เพื่อฝึกสมาธิแล้วก็การสังเกตให้กับลูก ควรเริ่มจากการลากเส้นต่อจุดจากสีหนึ่งไปอีกสีหนึ่ง เพื่อให้เด็กเกิดความรู้ความเข้าใจรวมทั้งสนุกกับแบบฝึกหัด โดยเรามีเทคนิคกล้วยๆมานำเสนอ
 
1. วางหนังสือให้ตรง ห้ามหมุนหนังสือ เพื่อฝึกฝนให้เด็กได้ลากเส้นหลายแนวทาง
2. ห้ามใช้ไม้บรรทัด เพื่อฝีกการควบคุมการเขยื้อนของนิ้วมือ
3. เมื่อฝึกฝนแรกๆให้ขีดเส้นรอยต่อจุด เมื่อฝึกฝนจนถึงช่ำชองให้แล้วลากเส้นจาก จุดเริ่มไปถึงจุดจบ
4. ควรลบให้น้อยที่สุด เพื่อฝึกให้พิจารณาตำแหน่งให้ดีก่อนตีเส้น
5. บรรยากาศในการทำควรจะสดชื่น แจ่มใส ให้เด็กทำเท่าที่ต้องการทำ ทำวันละนิด แต่เน้นในเรื่องคุณภาพของเส้นไม่เน้นในเรื่องปริมาณ และไม่ควรจะบังคับ บังคับเพราะว่าเด็กจะเบื่อ และไม่อยากทำ
6. ควรจะให้เด็กทำด้วยตัวเอง ไม่ควรช่วยเด็กทำผู้ดูแลเพียงแค่ให้กำลังใจ แล้วก็ชมเชยเท่านั้น แม้เด็กยังทำไม่ได้ผู้ปกครอง ควรให้เด็กได้ทำกิจกรรมส่งเสริมการสังเกต การใช้กล้ามเนื้อมือ และการประสานสัมพันธ์ของตา รวมทั้งมืออย่างเสมอ แล้วก็เสนอแนะการลากเส้นตามขั้นตอนข้างต้น



5 หนังสือเด็กที่แนะนำ โดยร้านหนังสือนายอินทร์
 
1. 100 สุดยอดนิทานอีสปแสนสนุก ฉบับ ภาษาไทย+MP3
พบกับเรื่องราวสนุก ๆ ชิงไหวพริบ และมิตรภาพอันน่าประทับใจของเหล่าสัตว์ป่า คัดสรรมาจากนิทานเรื่องเด่นของ "อีสป" นักเล่านิทานระดับโลก เช่น มดกับนกพิราบ กระต่ายป่ากับเต่า สิงโตกับหนู หมากับเงา เด็กเลี้ยงแกะ หมาหางด้วน อึ่งอ่างกับวัว หมาจิ้งจอกกับนกกระสา แม่ห่านกับไข่ทองคำ และอื่นๆ อีกมากมาย ที่สร้างความประทับใจให้แก่คนทั่วโลกมาแล้วทุกยุคทุกสมัย สอดแทรกคำถามชวนคิด ช่วยให้น้องๆ ฝึกคิดแบบสร้างสรรค์และแก้ปัญหาเป็น ความรู้น่าทึ่งของเหล่าสัตว์โลก ที่จะทำให้น้องๆ ประหลาดใจและได้รู้ความรู้ไปพร้อมกัน ตลอดจนมีซีดีเสียงนิทาน ฟังสนุกทุกเรื่อง ฟังเพลินทุกเวลา
คำถามชวนคิดช่วยให้น้องๆ ฝึกคิดแบบสร้างสรรค์และแก้ปัญหาเป็น ความรู้น่าทึ่งของเหล่าสัตว์โลก ที่จะทำให้น้องๆ ประหลาดใจและได้ความรู้ไปพร้อมกัน ซีดีเสียงนิทาน ฟังสนุกทุกเรื่อง ฟังเพลินทุกเวลา
 
2. ชุด นิทานพัฒนาความฉลาดทางด้านอารมณ์ (EQ) 4 เล่ม
หนังสือนิทาน 1 เล่ม สามารถส่งเสริมพัฒนาการการเรียนรู้ของเด็กๆ ได้มากกว่า 1 ด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านอารมณ์จิตใจ สังคม และสติปัญญา หนังสือนิทานจึงเป็นสื่อสำคัญในการพัฒนาภาษา ความคิดสร้างสรรค์ ตลอดจนทักษะต่างๆ นอกเหนือจากการจรรโลงจิตใจให้เบิกบาน และการปลูกฝังนิสัยรักการอ่าน อันเป็นพื้นฐานของการเรียนรู้ตลอดชีวิต เปิดอ่านได้ 2 ด้าน (2 ภาษา อังกฤษ-ไทย)
 
3. ชุด แบบฝึกเสริมทักษะ อายุ 4 ปี รูปทรงหรรษา+Sticker
"ชุด แบบฝึกเสริมทักษะ รูปทรงหรรษา สำหรับเด็กอายุ 4 ปี" เล่นนี้ เน้นกิจกรรมการแยกแยะรูปทรง การจับคู่ และการรวมรูปร่างรูปทรง ฯลฯ ซึ่งการฝึกฝนให้เด็ก ๆ คิดวิเคราะห์เรื่องรูปร่างรูปทรงนั้น จะค่อยๆ พัฒนาเป็นขั้นเป็นตอน จากรูปธรรมไปหานามธรรม และจากรูปทรงสามมิติไปหารูปทรงสองมิติ ถึงเวลาแล้วที่เด็ก ๆ จะได้เรียนรู้เรื่องรูปร่างรูปทรงอย่างสนุกสนาน เพื่อเป็นการให้เด็กๆ ฝึกคิดวิเคราะห์อย่างตั้งใจ และแบ่งปันความรู้ รวมทั้งความสำเร็จในการเรียนรู้ไปพร้อมๆ กัน
ค้นหาคำตอบตามเงื่อนไขที่กำหนดให้ เรียนรู้รูปร่างรูปทรงที่ซับซ้อนขึ้น ฝึกให้เด็กๆ เรียนรู้รูปร่างรูปทรงจากสิ่งที่พบเห็นในชีวิตประจำวัน ล้อรถกลมๆ ที่แล่นอยู่บนท้องถนน หลังคาบ้านมุมแหลม ตู้ไปรษณีย์สี่เหลี่ยม พระจันทร์เสี้ยว สัญลักษณ์เครื่องหมายบวก ดอกไม้ รูปดาว รูปหัวใจ และสิ่งของที่เด็กๆ พบเห็นได้บ่อยๆ ในชีวิตประจำวันเหล่านี้ล้วนมีรูปร่างรูปทรงซ่องอยู่มากมาย การที่เด็กๆ รู้จักชื่อของรูปร่างรูปทรงและสามารถแยกแยะรูปร่างรูปทรงของสิ่งต่างๆ ได้ทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก ดังนั้นจึงควรได้รับการฝึกฝน และส่งเสริมให้เด็กๆ ได้เรียนรู้รูปร่างรูปทรงจากสิ่งของต่างๆ รอบตัวทั้งที่บ้านและโรงเรียน เช่นลูกบอล กล่อง บล็อกไม้ เป็นต้น
 
4. จับคู่ลับสมอง ชุด แบบฝึกเสริมทักษะ (อายุ 5 ปี)
"ชุด แบบฝึกเสริมทักษะ จับคู่ลับสมอง สำหรับเด็กอายุ 5 ปี" เล่มนี้ มีคำถามให้เด็กๆ ได้คิดวิเคราะห์เรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน ผ่านวิธีการเรียนรู้ที่หลากหลาย เช่น เกมเขาวงกต การติดสติกเกอร์ การลากเส้นจับคู่ การระบายสี เพื่อไม่ให้เด็กๆ เกิดความเบื่อหน่าย ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้จะช่วยดึงดูดให้เด็กๆ เข้าสู่โลกแห่งการจับคู่ ที่ทำให้เพวกเขารู้สึกว่ากำลัง "เล่น" ไม่ใช่กำลัง "เรียน"
ขณที่เด็ก ๆ กำลังคิดหาคำตอบ ควรจะให้เวลาพวกเขาอย่างเพียงพอ ไม่จำเป็นต้องเร่งให้พวกเขาตอบคำถาม เพราะจะเป็นการปิดกั้นโอกาสในการคิดของเด็ก ๆ แต่อาจจะแนะนำหรือชี้แนะแนวทางในการตอบคำถามให้เด็กๆ บ้าง เมื่อสมองส่วนซีรีเบลลัมได้ทำการคิดวิเคราะห์ จะช่วยพัฒนาการเรียนรู้ให้เด็กๆ ไปอีกหนึ่งขั้น
แยกแยะประเภทและปริมาณของสิ่งต่างๆ แล้วนำมาคิดวิเคราะห์เพื่อหาคำตอบ "การจับคู่" หมายถึง การหาสิ่งที่มีลักษณะเด่นสอดคล้องกันมาเข้าคู่กัน นอกจากจะนำสิ่งที่เหมือนกันมาจับคู่แล้ว ยังรวมไปถึงการจับคู่ความสัมพันธ์หรือตัวเลขอีกด้วย กิจกรรมการจับคู่จะช่วยให้เด็กๆ เข้าใจความหมายของ "มูลค่าที่เท่ากัน" ช่วยพัฒนาความรู้ด้านคณิตศาสตร์ ดังนั้นการจับคู่จึงเป็นพื้นฐานการพัฒนาการเรียนรู้ในอนาคตที่จะมองข้ามไม่ได้ ลงมือทำแบบฝึกหัดจับคู่ ใน "จับคู่ลับสมอง" เล่มนี้ เพื่อเป็นพื้นฐานการพัฒนาการเรียนรู้ในอนาคต
 
5. ลากเส้นลีลามือ พื้นฐาน
แบบฝึกเตรียมความพร้อม ลากเส้นลายมือและระบายสี สำหรับฝึกบังคับกล้ามเนื้อมือ และทักษะการขีดเขียนลากเส้นตามเส้นประ เหมาะอย่างยิ่งสำหรับใช้ฝึกเตรียมความพร้อมเพื่อเสริมทักษะการเขียนสำหรับเด็กวัย 2 ปีขึ้นไป