การจักเลือกคัดซื้อ PC สักเครื่องสิ่งที่ควรให้ความสำคัญไม่พ่ายเรื่องสเปคข้างในตัวเครื่องก็คือ หน้าจอ Monitor แต่กระนั้นคงจะมีหลายท่านมองข้าม เหตุด้วยถือเอาว่าเพียงแสดงให้เห็นภาพออกมาได้ก็พอแล้ว แม้กระนั้นอยากจะบอกว่าคิดผิดเลยทีเดียว เนื่องจากบางเวลาจอที่เราซื้อมาอาจไม่ตรงตามลักษณะงานพร้อมกับความอยากของท่านก็ได้ เช่นว่า ท่านเป็นคนที่ชื่นชอบเล่นเกมสุดๆ แต่ไปซื้อจอ Monitor ขนาดย่อมกะทัดรัดมาก็จำต้องอดกลั้นเพ่งมองจอแคบๆ หรือ ถ้าหากเจ้าเป็นคนที่นานๆ ครั้งจะเปิด Computer เพื่อจะรับชมหนัง เล่นอินเตอร์เน็ตประปราย แต่กลับใช้หน้าจอ Monitor แบบรองรับพอร์ตหลายอย่าง มากมายก็สิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ
ฉะนั้นฉันจึงอยากแนะนำกลยุทธ์การเลือกซื้อ Monitor ที่เหมาะสมกับลักษณะการใช้งานของคุณที่สุด มาดูกันดีกว่าว่ามีสิ่งใดบ้าง
ขั้นแรกเริ่มเรามาดูกันก่อนว่าจอ Monitor นั้นมีกี่ชนิด
1. แบบ CRT (Cathode ray tube)
เป็นจอภาพที่แพร่หลายในยุคราวๆ 10 กว่าปีก่อนหน้า มีลักษณะเป็นจอภาพขนาดใหญ่ที่มีหลอดสุญญากาศอยู่ด้านใน ใช้วิถีทางการยิงแสงอิเล็กตรอนไปที่ผิวจอที่มีสารประกอบเป็นฟอสฟอรัสอาบอยู่ทำให้เกิดแสงและเป็นรูปภาพขึ้นมา แต่ทว่าในยุคปัจจุบันจอรับภาพประเภทนี้ไม่เป็นที่นิยมแล้ว ด้วยเหตุว่ามีขนาดใหญ่ ระเกะระกะ อีกทั้งมีความร้อนสูงพอใช้งานไปนานๆ
2. แบบ LCD (Liquid Crystal Display)
เป็นหน้าจอแบบใหม่กว่าหน้าจอ ประเภท CRT ซึ่งนิยมในผู้ใช้งานทั่วๆ ไปกระทั่งถึงเวลานี้ มีขนาดบาง กะทัดรัด ให้ความกระจ่างพร้อมทั้งสีสันต้องตาต้องใจ วิธีการการทำงานของภาพเกิดจากแสงที่ถูกปล่อยออกมาจากหลอดไฟฟ้าข้างหลังที่ชื่อว่า Black Light ผ่านชั้นกรองแสง (Polarized filter) แล้ววิ่งไปสู่คริสตัลเหลวที่เรียงตัวด้วยกัน 3 เซลล์คือ แสงสีแดง แสงสีเขียว และแสงสีนํ้าเงิน จนกระทั่งเปลี่ยนเป็นพิกเซล (Pixel)ที่สว่างสดใสปรากฏนั่นเอง จอภาพ LCD ยังแยกออกได้ 2 จำพวกคือ Passive Matrix (ให้ความกระจ่างและความสว่างต่ำกว่า) และ Active Matrix (ให้ความคมชัดกว่า)
ชนิด LED (Light Emitting Diod)
เป็นจอรับภาพรุ่นใหม่กว่า LCD หลักการในการแสดงภาพเกิดจากใช้หลอดไฟมาเรียงรายกันบนพาแนลแล้วเป็นเหตุให้เกิดภาพตามที่ตัว Computer ประมวลผลจนกระทั่งได้ภาพที่ดวงเนตรคุณแลเห็นออกนั่นเอง โดยจริงๆ แล้วชื่อ LED เป็นชื่อทางการตลาด ซึ่งชื่อจริงของเทคโนโลยีนี้คือ OLED (Organic Light Emitting Devices)
สมัยปัจจุบันมีเทคโนโลยี IPS (In-Plane Switching) บนหน้าจอ LED ที่ให้ภาพและสีสันที่เหมือนจริงมากขึ้น ยิ่งไปกว่านี้ยังมีมุมมองที่ล้ำหน้าพร้อมด้วย
ครั้นเมื่อได้ทำความรู้จักกับชนิดต่างๆ ของ Monitor แล้ว เรามาดูกลยุทธ์การเลือกซื้อกันดีกว่า
1. ความละเอียดของภาพ (Resolution)
เป็นชื่อเรียกของจำนวนจุดหรือว่าพิกเซลบนจอรับภาพ หากมีความละเอียดสูงจักทำให้ภาพชัดมากขึ้น เช่น จอภาพที่มีความละเอียด 1440 x 900 คือจอรับภาพที่มีจุดภาพในแนวนอน 1440 จุด พร้อมทั้งมีจุดภาพในแนวดิ่ง 900 จุด แต่อย่างน้อยก็ควรเป็นระดับ HD หรือ 1920 x 1080
ยิ่งมากโข ยิ่งชัด เช่นว่า Contrast 10,000,000:1 กับ 20,000,000:1 เป็นต้น 20,000,000 ย่อมโชว์ความสว่างของภาพได้เหนือกว่า
สัดส่วนของจอรับภาพจักวัดเป็นแบบเฉียงมุม อย่างเช่น จอแบบ 19 นิ้วและแบบ 21 นิ้ว
- งานพิมพ์เอกสารพึงจะใช้จอสัดส่วน 15 นิ้ว เพราะมิได้เน้นหนักความละเอียดของงานมาก
- งานกราฟิกและสื่อผสม ต้องใช้จอภาพสัดส่วน 17 นิ้ว หรือ 19-21 นิ้ว หากมีงบพอเพียงก็จะช่วยอำนวยความคล่องในการงานได้มาก
- งานจัดทำโปรแกรม ใช้หน้าจอขนาด 15 นิ้ว ก็เพียงพอแล้ว อย่างไรก็ตามเป็นได้สมควรใช้ 17 นิ้ว เนื่องจากจะช่วยให้สามารถทำงานหน้าจอได้นาน
- งานด้าน Animation อีกทั้งตัดต่อ Video ควรจะใช้จอที่มีขนาด 21 นิ้ว ขึ้น ก็เพราะว่างานด้าน Animation อีกทั้งตัดต่อ Video ต้องใช้ความละเอียดอีกทั้งความชัดสูง
ดังนี้ สำหรับคนที่จำเป็นจะต้องทำงานอยู่หน้าจอนานๆ สมควรใช้หน้าจอที่มีสัดส่วน 17 นิ้ว ขึ้นไป จะทำให้สบายดวงตา พร้อมกับช่วยรักษาสายตา
4. ความสว่าง (Brightness)
ค่านี้ยิ่งมากโขยิ่งยอดเยี่ยม ทำให้ผู้ใช้เห็นภาพบนหน้าจอได้ชัดแจ้งถึงแม้จักนั่งห่างออกไปจากจอภาพ อย่างไรก็ตามมีข้อด้อยคือสิ้นเปลืองไฟฟ้าและอาจจะเป็นโทษต่อสายตา
การเชื่อมต่อ เป็นอีกข้อสำคัญที่ผู้ซื้อมิควรจะเย็นชา พอร์ตพื้นฐานที่มีคือ VGA / DVI / D-Sub และพอร์ตที่จำเป็นเลยก็คือ HDMI เนื่องจากเป็นพอร์ตที่ใช้งานสะดวกสบายและให้ภาพที่คมชัดมาก
เห็นหรือไม่ครับผม ว่าอันที่จริง
Monitor นั้นคือวัสดุอุปกรณ์สำหรับ Computer ที่จำเป็นจะต้องเอาใจใส่พร้อมด้วยยังมีกลยุทธ์ต่างๆ ในการเลือกซื้ออีกมากมาย ดังนั้นก่อนจะซื้อ Monitor คราวต่อไปอย่าหลงลืมทบทวนบทความนี้กันใหม่นะขอรับ
คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง :
monitor ราคาTags : Monitor,monitor ราคา,จอมอนิเตอร์
