สวัสดี บุคคลทั่วไป

เครื่องดนตรีไทย :R

  • 0 ตอบ
  • 202 อ่าน
เครื่องดนตรีไทย :R
« เมื่อ: ตุลาคม 23, 2018, 07:47:16 AM »
อุปกรณ์สำหรับเล่นดนตรีไทย บาคาร่าออนไลน์ มีต้นเหตุจากชาติไทยเองและก็การเลียนแบบชาติอื่นๆที่อยุ่สนิทสนมโดยเริ่มตั้งแต่อดีตกาลที่ไทยตั้งหลักแหล่งอยู่ในอาณาจักรฉ่องหวู่ดินแดนของเมืองจีนในขณะนี้ต้องการอ้างอิง คาสิโนออนไลน์ ทำให้อุปกรณ์สำหรับเล่นดนตรีไทยแล้วก็จีนมีการแลกเอาอย่างกัน เว้นเสียแต่นี่ยังมีอุปกรณ์สำหรับเล่นดนตรีอีกหลายประเภท ที่เชื้อชาติไทยประดิษฐ์ขึ้นใช้ก่อนจะมาเจอวัฒธรรมประเทศอินเดีย ซึ่งแพร่หลายอยู่ทางตอนใต้ของแหลมอินโดจีนต้องการอ้างอิง สำหรับชื่ออุปกรณ์สำหรับเล่นดนตรีเริ่มแรกของไทยจะเรียนตามคำโดดในภาษาไทย อย่างเช่น เกราะ โกร่ง กรับ ฉิ่ง ฉาบ ขลุ่ย พิณเปี๊ยะ ซอ ฆ้องแล้วก็กลอง ถัดมาได้มีการประดิษฐ์อุปกรณ์สำหรับเล่นดนตรีให้ปรับปรุงขึ้น โดยนำไม้ที่ทำเสมือนกรับหลายอันมาวางเรียงกันได้อุปกรณ์สำหรับเล่นดนตรีใหม่ เรียกว่าระนาดหรือนำฆ้องหลายๆใบมาทำเป็นวงเรียกว่า ฆ้องวง ฯลฯ

      ยิ่งกว่านั้นยังมีการประสมประสานกับวัฒนธรรมทางดนตรีของประเทศอินเดีย มอญ เขมร ในแหลมอินโดจีนที่ไทยได้ย้ายไปตั้งรกรากอยู่ อาทิเช่น พิณ สังข์ ปี่ไฉน บัณเฑาะว์ กระจับปี่ จะเข้ โทน(ทับ) ฯลฯ ถัดมาเมื่อมีความเกี่ยวเนื่องกับประเทศเพื่อนบ้านเยอะขึ้น ไทยได้นำเพลงรวมทั้งอุปกรณ์สำหรับเล่นดนตรีบางสิ่งบางอย่างของประเทศเพื่อนบ้านมาบรรเลงในวงดนตรีไทย ตัวอย่างเช่น กลองแขกของชวา กลองมลายูของมลายู เปิงมางของมอญ แล้วก็กลองยาวของไทยใหญ่ที่เมียนมาร์ประยุกต์ใช้ และก็ขิม ล่อ แล้วก็กลองจีน ซึ่งเป็นอุปกรณ์สำหรับเล่นดนตรีของจีน ฯลฯ ถัดมาไทยมีความเชื่อมโยงชาวกับตะวันตกแล้วก็อเมริกา ก็ได้นำกลองฝรั่ง ได้แก่กลองอเมริกัน แล้วก็อุปกรณ์สำหรับเล่นดนตรีอื่นๆอย่างเช่น ไวโอลีน ออร์แกน มาใช้ร้องเพลงในวงดนตรีของไทย

จากความเป็นมาอุปกรณ์สำหรับเล่นดนตรีไทยดังที่กล่าวถึงแล้ว สามารถแบ่งประวัติศาสตร์ของอุปกรณ์สำหรับเล่นดนตรีไทยได้เป็น 4 ยุค ดังต่อไปนี้

ยุคจังหวัดสุโขทัย

คนประเทศไทยมีความสนุกกับการเล่นดนครีและก็ร้องกันมากมายตามที่ปรากฏในหลักแผ่นจารึกบิดาขุนรามคำแหงหลักที่ 1 ว่า "ดบงคมกลอง ด้วยเสียงพาทย์ เสียงพิณ เสียงเลื้อน เสียงขับ คนไหนกันจะมักเล่น เล่น คนไหนกันจะมักหัว หัว คนไหนกันแน่จะมักเลื้อน เลื้อน" ซึ่งแลป่าดงถึงการบรรเลงดนตรีอุปกรณ์สำหรับเล่นดนตรีชนิดตี เป่า ดีด รวมทั้งสีเป็นกลอง ปี่ พิณ และก็อุปกรณ์สำหรับเล่นดนตรีทีมีสายไว้สีได้ ยิ่งไปกว่านี้ยังมีหลักฐานของล้านนาไทยที่มีศิลปวัฒนธรรมร่วมยุคกันในหลักแผ่นจารึกในวัดพระยืน จังหวัดลำพูน ที่จารึกไว้ว่า "ให้ถือกระทงข้างตอกดอกไม้ไต้เทียน ตีพาทย์ดังพิณฆ้องกลอง ปี่สรไนพิสเนญชัยทะเทียดกาหลแตรสังมาลย์กังสดาล มรทงค์ป่าเดือด เสียงเลิศเลอเสียงกังวาน ทั้งยังคนร้องโห่อื้อดาสรท้าทายนทั่งทั้งยังนครหริภุญชัย แล" ซึ่งแสดงถึงอุปกรณ์สำหรับเล่นดนตรีเล่นเพลงในวงดนตรี รวมทั้งประชากรเอามาเล่นเพื่อความสนุกครึกโครมกัน โดยเหตุนี้ก็เลยสามารถเอ่ยถึงอุปกรณ์สำหรับเล่นดนตรีไทยในยุคจังหวัดสุโขทัยได้จากวงดนตรีไทยในยุคนั้น เช่น วงแตรสังข์ ที่ใช้เล่นเพลงในพิธีต่างๆมีอุปกรณ์สำหรับเล่นดนตรีแตรลำโพง แตรงอน ปี่ไฉนแก้ว กลองชนะ บัณเฑาะว์ รวมทั้งมโหระทึก วงปี่พาทย์เครื่องห้ามี ปี่ใน ฆ้องวง กลองสองหน้า กลองทัด และก็ฉิ่ง นอกเหนือจากนี้ยังมีอุปกรณ์สำหรับเล่นดนตรีดังเช่นว่า พิณ แล้วก็ซอสามสาย อยู่ในยุคนั้นอีกด้วย

ยุคอยุธยา

เป็นช่วงๆที่ชาติบ้านเมืองมีสงครามอยู่ตลอดระยะเวลา ก็เลยทำให้ดนตรีไทยไม่เจริญมากเท่าไรนัก ยังคงมีอุปกรณ์สำหรับเล่นดนตรีในวงพิณพาทย์ เครื่องห้าเหมือนเดิม จนกระทั่งมาเพิ่มระนาดเอกตอนหลังในตอนท้ายยุคอยุธยา ส่วนวงดนตรีที่เกิดขึ้นในยุคนั้น ตัวอย่างเช่น วงมโหรี ที่ร้องเพลงโดยเพศหญิง เพื่อเห่กล่อมมอบให้แก่พระเจ้าอยู่หัว มีอุปกรณ์สำหรับเล่นดนตรี กระจับปี่ ซอสามสาย โทน(ทับ) กรับ รำมะนา ขลุ่ยแล้วก็ฉิ่ง แม้กระนั้นถัดมาได้นำจะเข้ซึ่งเป็นอุปกรณ์สำหรับเล่นดนตรีของมอญมาผสมแทนกระจับปี่ เพื่อทำนองได้ประณีตบรรจงและก็เพราะกว่า แล้วก็วงเครื่องสาย มีอุปกรณ์สำหรับเล่นดนตรี ซอด้วง ซออู้ จะเข้ ขลุ่ย โทน(ทับ) และก็ฉิ่ง

ยุคจังหวัดธนบุรี

มีวงดนตรี 3 จำพวก เหมือนกันกับยุคอยุธยาหมายถึงวงพิณพาทย์ วงมโหรี รวมทั้งวงเครื่องสาย แต่ว่ามีอุปกรณ์สำหรับเล่นดนตรีของชาติต่างๆเข้ามาในประเทศไทยหลายอย่าง ดังปรากฏในแผนการของพระเจ้าอยู่หัวในยุคนั้นว่า “ทรงพระขอความปรานีโปรดเกล้าฯ ให้ปี่พาทย์ไทย ปี่พาทย์มอญ วงมโหรีไทย ฝรั่ง วงมโหรีญวน เขมร หมุนเวียนกันสมโภช 2 เดือนกับ 12 วัน” ในงานฉลองพระแก้วมรกตฯลฯ
เนื่องด้วยในสมัยปัจจุบันเป็นตอนช่วงเวลาอันสั้นเพียง 15 ปี แล้วก็ประกอบกับเป็นยุคที่การก่อร่างสร้างเมือง และก็การปกป้องประเทศเสียส่วนมาก วงดนตรีไทยในสมัยปัจจุบันก็เลยไม่ปรากฏหลักฐานไว้ว่า ได้มีการปรับปรุงเปลี่ยนขึ้น คาดการณ์ว่า ยังคงเป็นลักษณะรวมทั้งลักษณะของ ดนตรีไทย ในยุคกรุงศรีอยุธยานั่นเอง
ยุครัตนโกสินทร์
ภาควิชาละครและก็วงพิณพาทย์ไทยยุครัตนโกสินทร์

มีความเจริญก้าวหน้าทางดนตรีมากมาย เริ่มจากยุครัชกาลที่ 1 ได้เพิ่มกลองทัดขึ้นในวงพิณพาทย์เป็น 2 ลูก รวมทั้งเพิ่มระนาดในวงมโหรีพิณพาทย์อีก 1 ราง ถัดมาในยุครัชกาลที่ 2 เริ่มมีพิณพาทย์ร้องเพลงประกอบกลอนเสภา ก็เลยได้นำเปิงมางมาติดข้างสุกถ่วงเสียงให้ลดน้อยลง เรียกว่าสองหน้า ใช้ประกอบกิจการร้องเพลงประกอบกลอนเสภา รวมทั้งได้เพิ่มฆ้องวงในวงมโหรีด้วย ในยุครัชกาลที่ 3 มีผู้ผลิตระนาดทุ้มรวมทั้งฆ้องวงเล็กขึ้นมา ก่อให้เกิดวงพิณพาทย์เครื่องคู่ขึ้นในยุคนั้น ซึ่งมีอุปกรณ์สำหรับเล่นดนตรีระนาดครั้งเปลี่ยนแปลงชื่อเป็นระนาดเอก เพื่อเข้าคู่กับระนาดแบบใหม่ ที่เพิ่มราง 1 ราง รวมทั้งสร้างขนาดใหญ่เรียกว่า ระนาดทุ้ม รวมทั้งฆ้องวงใหญ่ เพื่อเข้าคู่กับฆ้องวงเล็กที่สร้าง ขนาดเล็กลงเรียกว่า ฆ้องวงเล็ก เว้นเสียแต่นี่ยังมีการนำปี่นอกเข้ามาผสมเข้าคู่กับปี่ใน และก็อุปกรณ์สำหรับเล่นดนตรีเดิมเป็นกลองสองหน้า กลองทัดและก็ฉิ่งเป็นต้นว่าเดิม และก็มีวงมโหรีเครื่องคู่เกิดขึ้น โดยมีการนำระนาดทุ้ม ฆ้องวงเล็ก แล้วก็ขลุ่ยหลีบ ให้เข้าคู่กับอุปกรณ์สำหรับเล่นดนตรีที่มีอยู่เดิม ในยุครัชกาลที่ 4 วงพิณพาทย์มีความรุ่งเรืองมากมาย โดยนายจ้าง เจ้าขุนมูลนาย เจ้าหน้าที่รัฐ ต่างก็มีวงพิณพาทย์ประจำบ้านกัน รวมทั้งพระบาทสมเด็จพระปิ่นปักผมเกล้าเจ้าอยู่หัวยังทรงความคิดให้นำลวดเหล็กเล็กๆที่ดูจากนาฬิกาจัดโต๊ะที่กลไกภายในมีลวดเส้น เล็กๆสั้นบ้างยาวบ้าง ปักเรียงกันถี่ๆเป็นวงกลมเหมือนหวีกึ่งกลางมีแกนหมุนและก็เหล็กเขี่ยเส้นลวดเหล็กพวกนั้นผ่านไปรอบๆที่ท่านทรงเรียกว่า นาฬิกาเขี่ยหวี ซึ่งมีเสียงดังกังวานมาสร้าง เป็นระนาดทุ้มเหล็ก แล้วก็ระนาดเหล็กที่เล็กมากยิ่งกว่าแล้วก็มีเสียงสูงขึ้นยิ่งกว่า มาเพิ่มเข้าในวงพิณพาทย์ รวมทั้งเรียกวงพิณพาทย์นี้ว่า วงพิณพาทย์เครื่องใหญ่ นอกนั้นยังมีการเพิ่มอุปกรณ์สำหรับเล่นดนตรี ระนาดทุ้มเหล็กและก็ระนาดเอกเหล็กที่ทำด้วยทองบรอนซ์เรียกว่า ระนาดทองคำ และก็นำซอด้วงและก็ซออู้มาผสมในวงมโหรีด้วยเรียกว่า วงมโหรีเครื่องใหญ่ ในยุครัชกาลที่ 5 ได้กำเนิดวงพิณพาทย์ดึกดำบรรพ์ ที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์คุณเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ เป็นผู้ทรงปรับปรุงแก้ไขขึ้นเพื่อเล่นเพลงประกอบละครวงพิณพาทย์นี้มีชื่อเพราะนุ่มนวลกว่า เนื่องจากได้ดัดอุปกรณ์สำหรับเล่นดนตรีที่มีเสียงดังมากมาย เสียงสูงแล้วก็เสียงเล็กแหลมออกกระทั่งหมด รวมทั้งระนาดเอกก็ตีด้วยไม้นวม รวมถึงยังนำฆ้องชัยหรือฆ้องหุ่ยมา 7 ลูก เทียบเคียงเสียงเรียงลำดับตีตัวออกห่างๆคล้ายกับ เบสของฝรั่ง เพิ่มเข้ามา ในยุครัชกาลที่ 6 การดนตรีมีความก้าวหน้ามากยิ่งกว่าเดิม โดยพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงทรงกรมมหรสพ กรมออกคำสั่ง กรมโขนหลวง กรมปี่พาทย์หลวงกลองเครื่องสายฝรั่งหลวง แล้วก็กรมช่างมหาดเล็ก สำหรับสร้างรวมทั้งซ่อมแซมสิ่งที่เป็นศิลป์ต่างๆและก็ท่านยังโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเครื่องพิณพาทย์เสริมแต่งมุกแล้วก็เสริมแต่งงาขึ้น 2 ชุด แต่งแต้มเป็นลวดลายวิจิตรบรรจง มีอักษรพระปรมาภิไธย มัธยมว. ซึ่งสวยสดงดงามมีค่ายิ่ง ในยุครัชกาลที่ 7 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงจับกลุ่มเครื่องสาย ส่วนพระองค์ขึ้น โดยท่านทรงซอด้วง รวมทั้งพระบรมราชินีทรงซออู้ และนายจ้างอีกหลายท่าน อยู่ในวงนั้น ยิ่งไปกว่านี้ ท่านยังทรงพระราชนิพนธ์ เพลงราตรีกาลประดับประดาดาว เถา เพลงเขมรละออองค์ เถา รวมทั้งเพลงคลื่นกระทบฝั่ง 3 ชั้น ถัดมาเมื่อข้างหลังความเคลื่อนไหวการปกครอง ในปี พุทธศักราช 2475 การดนตรีไทยได้เสื่องลงอย่างช้าๆ กระทั่งมาถึงข้างหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ไปแล้ว ก็เลยได้มีการฟื้นฟูดนตรีไทยขึ้นใหม่ จนถึงมาถึงในเวลานี้ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็ทรงพระปัญญาสามารถสามารถทางดนตรีสากล และก็พระราชนิพนธ์เพลงขึ้นหลายเพลงด้วย แต่ว่าท่านยังทรงสนพระทัยการดนตรีไทย โดยพระราชทานทุน ให้พิมพ์เพลงไทยเป็นโน้ตสากลออกวางขายกระทั่งได้รับความนิยมของแวดวงดนตรีทั่วๆไป