สวัสดี บุคคลทั่วไป

ตัดสินใจซื้อเครื่องปรับอากาศอย่างไร เพื่อที่จะเซฟเงินทองในกระเป๋าที่สุด

  • 0 ตอบ
  • 270 อ่าน
ตอนอากาศมันอบอ้าว เลยก็เลยต้องหาวิธีเพื่อมาดับร้อนกันนิดนึง ใครถนัดทาน ก็ค้นหาของกินทานคลายร้อนกันไป แต่ว่าถ้าใครต้องการอากาศในที่พักอาศัยไม่อบอ้าวอย่างนรก ก็ต้องพึ่งพา "แอร์" หรือว่า "เครื่องปรับอากาศ" นั่นเอง แต่หากใช้งานเครื่องปรับอากาศ บางท่านก็คงจะต้องกังวลใจด้านเรื่องของรายจ่ายค่าไฟที่มันจะตามมาทีหลัง แต่เราจะมีหลักเกณฑ์การเลือกซื้อยังไง เพื่อจะได้ทั้งของคุณภาพ แต่ก็ยังประหยัดด้วย ไปดูกันเลย
อย่างแรกเราจะต้องคิดถึงแบบของเครื่องปรับอากาศควรให้พอดีต่อที่ตั้งกับการใช้งาน เพราะตอนนี้นั้นมีหลายหลากแบบให้เลือกสรร เพราะว่าแต่ละประเภทก็มีคุณสมบัติต่างกันไป ซึ่งสมมติซื้อผิดนั้น ก็อาจทำให้เกิดโทษแก่แอร์ รวมถึงยังทำให้เสียพลังงานไปอีก จริงๆ แล้ว แล้ว แอร์จะแยกออกเป็นหลายหมวดหมู่ ตัวอย่างเช่น เครื่องปรับอากาศติดผนัง, แอร์ตั้งพื้น, เครื่องปรับอากาศฝังเพดาน รวมทั้ง เครื่องปรับอากาศเคลื่อนที่ โดยแต่ละแบบ มีรูปลักษณ์เป็นอย่างไรบ้าง ไปดูกันก่อนดีกว่า
อันแรกคือเครื่องปรับอากาศติดผนัง โดยแอร์ชนิดนี้ เป็นที่นิยมกันอยู่แล้ว หรือน่าจะต้องเคยเห็นกันอยู่เสมอๆ นั่นแหละ ซึ่งการทำงานที่หลายแบบ และด้วยรูปลักษณ์การดีไซน์ที่ร่วมสมัย และก็มีขนาดกะทัดรัด แล้วยังยังช่วยลดการใช้ไฟฟ้า รวมถึงสามารถทำนุบำรุงไม่ยาก เพราะเครื่องปรับอากาศแบบนี้ เหมาะสำหรับห้องสัดส่วนย่อมๆ หรือที่พักอาศัย หรือว่าคอนโดธรรมดา ช่วยให้ตรงใจต่อความมุ่งหมายในการใช้งานได้แบบหลายแบบ
ถัดมาเป็นแอร์วางพื้น ซึ่งแอร์ประเภทนี้เป็นแบบที่มีการแผ่กระจายความเย็นฉ่ำได้ดี สามารถสร้างความเย็นฉ่ำได้แบบรวดเร็ว รวมถึงทนในการใช้งาน รวมถึงทนกับมลพิษอีกด้วย โดยรูปร่างของแอร์จะเป็นชนิดติดตั้งบนพื้น เหมาะกับห้องที่มีพื้นที่กว้าง โรงงาน และมีประชากรมากมาย  โดยเครื่องปรับอากาศลักษณะนี้จะทำงานใช้อึกทึก จึงทำให้สิ้นเปลืองไฟฟ้ามากกว่าแอร์แบบอื่นๆ
แบบถัดไปเป็นกลุ่มแอร์ฝังฝ้าเพดาน ซึ่งชนิดนี้จะคือเครื่องปรับอากาศ 4 ทิศทาง ตัวเครื่องแอร์ ท่อน้ำยา และท่อน้ำทิ้ง สามารถติดภายในฝ้าเพดาน ช่วยให้สามารถคงทรงความดูดีของห้องได้ตามเดิม ลดข้อจำกัดในการติดตั้ง ซึ่งเหมาะกับห้องที่ต้องการในเรื่องความเรียบร้อย ช่วยให้ภายในบ้านสวยงามตามเดิม  แต่แอร์ชนิดนี้มักมีสนนราคามักแพงกว่าเครื่องปรับอากาศอย่างอื่นๆ
และประเภทท้ายที่สุดคือแอร์เคลื่อนที่ โดยที่เครื่องปรับอากาศชนิดนี้จะไม่ค่อยยุ่งยากเหมือนกับประเภทก่อน เพราะว่าแค่เพียงเสียบปลั๊ก ก็ใช้งานได้เลย เพราะแอร์ชนิดนี้ใช้งานได้แบบเดียวกันกับเครื่องปรับอากาศบ้านแบบปกติ แต่ว่าไม่เหมือนประเภทอื่นก็ตรงที่สามารถเคลื่อนย้ายได้ รวมถึงก็ไม่ต้องติดตั้งเข้ากับผนังด้วย เหมาะกับคนที่อยู่หอพัก อพาร์ตเมนต์ คอนโดมิเนียม ทำนุบำรุงก็ง่ายมาก เหมือนแอร์แบบปกติเลย
กลับมาที่หลักเกณฑ์การเลือกกันต่อ ถัดจากนั้นก็จำเป็นต้องตัดสินใจสัดส่วนแอร์ให้เหมาะกับขนาดห้อง ก็เพราะว่าเมื่อทราบพื้นที่ห้องเรียบร้อยแล้วนั้น ก็จะไม่ยากกับการเลือกสรรขนาดของเครื่องปรับอากาศและการคิดค่า BTU นั่นเอง เพื่อให้เหมาะกับการทำงานและทำให้
เซฟพลังงาน เพราะหลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่า BTU คืออะไร โดยมันก็คือ ขนาดสร้างความเย็นของแอร์ โดยย่อมาจากคำว่า British Thermal Unit ซึ่ง 1 ตันความเย็น จะเท่ากับ 12000 BTU ต่อชั่วโมง ฉะนั้นการเลือก BTU จึงมีความสำคัญ ก็เพราะว่าจะเกี่ยวเนื่องกับ การประหยัดพลังงานและอายุการทำงานของแอร์นั่นเอง ถ้าหากเลือกเครื่องปรับอากาศที่มี BTU สูงเกินไป ก็จะทำให้ใช้งานของคอมเพรสเซอร์ตัดบ่อย เนื่องจากมีการทำความเย็นได้อย่างรวดเร็ว จะทำให้ศักยภาพภายในถดถอย พร้อมกับยังส่งผลให้มีความชื้นภายในห้องมาก อาจทำให้ผู้อาศัยไม่สบาย หรือว่าไม่สบายได้ แล้วยังทำให้เปลืองพลังงานอีกด้วย หรือหากซื้อแอร์ที่มี BTU ต่ำเกินไปก็จะส่งผลต่อคอมเพรสเซอร์ถูกใช้งานทุกเมื่อรวมถึงมากจนเกินไป  ก็เพราะว่าอุณหภูมิความเย็นไม่ตรงกับที่ตั้งหรือกำหนดไว้  ก็จะส่งผลทำให้แอร์ทรุดโทรมได้ง่าย แล้วยังสิ้นเปลืองพลังงานอีกด้วย
                ถัดไปก็คือแนวทางง่ายๆ เกินที่ไม่ว่าใคร ก็คงจะทำให้ตัดสินใจเลือกแน่นอน คือ การตัดสินใจซื้อเครื่องปรับอากาศที่ได้ฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 เพราะนั่นหมายความว่า ประสิทธิภาพในการใช้งานพลังงานที่คุ้มที่สุด เลยจะช่วยประหยัดพลังงานและประหยัดค่าใช้จ่ายได้นั้นเอง

Tags : แอร์,เครื่องปรับอากาศ,แอร์ ราคา