ในเหล่านักเล่นเครื่องเสียงประเภทโฮมเธียเตอร์นั้น Receiver หรือที่ขนานนามย่อๆ กันว่า AVRเป็นเครื่องมือชิ้นส่วนสำคัญที่ขาดไม่ได้เพราะ Receiver ก็คือการผนวกหยิบยกปรีแอมป์, จูนเนอร์ และภาคขยาย รวมทั้งภาคถอดรหัสระบบเสียงเซอร์ราวนด์อัดบรรจุไว้ในตัวเครื่องเดียวกัน เป็นอุปกรณ์ที่ทำให้ระบบภาพและเสียงมาบรรจบกันก่อนที่จักส่งต่อไปที่ชุดลำโพงและระบบภาพ อย่างเช่น TV โดยจักทำให้เติมต่ออรรถรสในการรับชมอย่างโรงหนังเลยทีเดียว
เวลานี้เราเห็นว่า AVR ยังสามารถทำอะไรหลายอย่าง ได้มากกว่านั้น เช่น การเข้าอินเตอร์เน็ต หรือว่าการเล่นบทเพลงผ่านระบบ Home Networking โดยทำเอากลายเป็นจุดศูนย์รวมความบันเทิงของครอบครัว ซึ่งการซื้อ Receiver ตัวหนึ่งสำหรับห้องโฮมเธียเตอร์นั้นหมายความว่าคุณกำลังซื้ออนาคตของความรื่นเริงใจภายในบ้านช่องเลยเชียว โดยพวกเราจะมาชี้นำการคัดเลือกซื้อ Receiver สำหรับคนที่สนใจกัน
1. เลือกคัด Receiver ให้มันมีแนวเสียงที่อยากได้
พยายามเลือกสรรแบรนด์ที่ให้จุดดีของน้ำเสียงของยี่ห้อนั้นๆตรงกับความชื่นชอบของคุณไว้ก่อน อย่าไปดูรุ่นที่มีผู้คนบอกกล่าวว่าดี ไม่ก็ไปคัดเลือกยี่ห้อโด่งดังเพียงอย่างเดียว เพราะถ้าหากคุณถูกใจน้ำเสียงดุเดือด เบสแรง แต่ว่าไปเลือกสรร Receiver เสียงนิ่มนวลก็ไม่ได้สร้างความสุขให้เจ้าอย่างแท้จริงหรือท่านใดจักมาเซ็ตสุรเสียงภายหลังนั้นก็ต้องการแย้มว่าในประเด็นของโทนเสียงต่อให้ขยันเซ็ตยังไงก็ไม่สามารถทำให้แบรนด์นึงสุรเสียงเหมือนอีกแบรนด์นึงได้
2. เพ่งพินิศจำนวนแชนแนลให้พอเพียง
สำรวจหาความจำนงของตนเอง อีกทั้งที่จะใช้บรรเลงกับอุปกรณ์ต่างๆ โดยมาตรฐาน คือ Atmos7 แชนแนล หรือเผื่อว่าท่านใดอยากผ่อนคลายใจก็ไปจนถึง 9 หรือ 11 แชนแนลเลยก็ดี
3. เลือกระบบเสียงที่รองรับให้เพียงพอกับยุคปัจจุบัน
ในเวลานี้ให้ดูระบบเสียง Immersive Sound ดังเช่น Dolby Atmos, DTS:X ไว้ก่อน ส่วนแบบเสียง HD ตัวอย่างเช่น Dolby True HD, DTS HD นี่คือพื้นฐานปกติ จำเป็นเลยทีเดียว
4. รองรับระบบภาพ 4K
หากว่าเจ้ามี TV ที่ระบบภาพให้เป็น 4K Ultra HDTV ท่านก็จำต้องใช้ Receiver ที่สามารถรองรับกับ Content หรือว่าโปรแกรมที่บันทึกมาในแบบ 4K ด้วย โดยปัจจุบัน Receiver ระดับมูลค่าไม่เลย 40,000 บาท ก็มีสมรรถนะนี้เช่นเดียวกันทั้งหมดทุกตัว
สติ๊กเกอร์หลากหลาย ที่ประทับไว้บนตัวเครื่องชี้ให้เห็นถึงคุณลักษณะสำคัญ เช่น Pandora, Rhapsody หรือว่า Spotify คือผู้ให้บริการ streaming ผ่านทางอินเทอร์เน็ต แต่ว่าหลักๆ ณตอนนี้มักจะให้การเชื่อมผ่าน Ethernet ประเภท LAN อย่างไรก็ดีก็มีระบบการเชื่อมเน็ตเวิร์กชนิดไม่มีสายมาให้เหมือนกัน เช่น WiFi พร้อมทั้งบลูทูธ โดยความแตกต่างของระบบต่อประเภทไม่มีสายทั้งสองรูปแบบก็อยู่ที่ความสะดวก ความง่ายดายในการควบคุม และคุณภาพของการเล่นไฟล์เพลงนั่นเอง
6. ขนาด Receiver
ต้องให้เหมาะกับสัดส่วนของห้อง อีกทั้งขนาดของดอกลำโพงว่าขับยากเพียงใด
ถ้าห้องเล็กๆ 3 x 3.5 เมตร ห้องนอนปิด ดอกลำโพงแบบย่อม แบบนี้การใช้ Receiver เล็กๆคงเพียงพอแล้ว การเพิ่มเงินทองไปใช้รุ่นใหญ่อาจมองเห็นความต่างบ้างแต่ก็นิดหน่อยจนไม่คุ้มทุนกับเงินที่จ่ายเพิ่ม รวมไปถึง Power ก็อาจจะเป็นสิ่งที่เกินจำเป็น ทั้งนี้เพราะได้รับเพียงโทนเสียงที่เปลี่ยนไป แต่ประสิทธิภาพพร้อมด้วยเนื้อเสียงนั้นมิมีส่วนพัวพันเลย
7. ระบบ MultiRoom
ครั้นเมื่อเธออยากแบ่งปันการฟังเสียงเพลงไปที่ห้องหับต่างๆ ภายในบ้าน หรือว่าทุกหัวระแหงที่คุณต้องการเสียงดนตรี Receiver บางรุ่นมีฟังก์ชัน Multi Zone รวมถึงฟังก์ชัน Multi Source Audio ที่ทำให้เจ้าสามารถบรรเลงเสียงเพลงได้จากแหล่งต้นทางที่แตกต่างกันในแต่ละบริเวณ ซึ่งสามารถใช้ทักษะนี้ได้ผ่านทางภาคขยายที่มากับตัวเครื่อง หรือจะนำเฉพาะสัญญาณ Line-out ไปเชื่อมกับ Active Speaker ข้างนอกก็ได้ วันนี้การทำงานในประเภทนี้นับว่าสบายและประหยัด เนื่องจากสามารถคอนโทรลคัดเลือกเพลงจากแอพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟนที่อยู่ในวง network เดียวกันกับ AV Receiver ได้เลย
เวลาเลือกสรร Receiver พยายามกำหนดราคาที่จ่ายไหวจากนั้นค่อยๆคัดรุ่นที่อยู่ในงบประมาณในฟังก์ชันครบเครื่องที่สุด โดยดูว่า แชนแนล Preout รองรับระบบเสียงที่ต้องการหรือเปล่า หากว่ามีเยอะเกินพอดีอีกทั้งราคาจ่ายไม่ไหวก็ลดลงมา
ทางด้าน Option รองๆ พวก Blutooth, Streaming เช่น Chormcast, Playfi, Zone2 ต่างๆ จำพวกนี้ ถ้างบประมาณไม่ถึงจริง ก็ไม่ควรสนใจ มาดูที่ขั้นพื้นฐานการใช้งานทั่วๆ ไปให้แน่นก่อน
จักเห็นได้ว่าการที่พวกเราจะเลือกเฟ้นซื้อ Receiver ที่เหมาะสมกับตัวเรานั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ไตร่ตรองถึงความพอเหมาะของตัวเราก่อน ว่าหวังอะไรและมีงบประมาณเท่าไหร่ ครั้นเป็นไปตามขั้นตอนนี้ เจ้าจะได้
Receiver ที่ต้องใจแน่แท้ขอรับกระผม
คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง :
receiver ราคาTags : Receiver,receiver ราคา,receiver ราคาถูก
