สวัสดี บุคคลทั่วไป

ศิลปยุคจังหวัดสุโขทัย

  • 0 ตอบ
  • 263 อ่าน
ศิลปยุคจังหวัดสุโขทัย
« เมื่อ: มกราคม 08, 2019, 03:54:52 AM »
พุทธเจดีย์ยุคจังหวัดสุโขทัย แทงบอลเงินสด แบ่งแยกได้ตามลักษณะทรงดังต่อไปนี้

 1.   พระเจดีย์ทรงดอกบัวตูม

 2. พระเจดีย์ทรงระฆังหรือดอกบัวคว่ำ
 3.   พระเจดีย์ทรงพระปรางค์
 4.   เจดีย์แท่น หรือ เจดีย์วิมาน
 5.   เจดีย์จอมแห
 6.   เจดีย์ทรงวัง

1.   พระเจดีย์ทรงดอกบัวตูม
พระเจดีย์อย่างนี้มียอดเป็นรูปดอกบัวตูม หรือเรียกกันว่า ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ หรือทรงทนาฬ
ตั้งอยู่เหนือเรือนธาตุสี่เหลี่ยมย่อไม้ยี่สิบ ที่เรือนธาตุลางองค์มีการจัดซุ้มพุทธรูปยืนอีกทั้ง 4 ด้าน อาทิเช่นที่เจดีย์ วัดตะพังเงิน เมืองจังหวัดสุโขทัย พระเจดีย์ทรงดอกบัวตูมมีทรงสูงเด่นสง่างาม ฐานด้านล่างมีแผนในการแผนผังสี่เหลี่ยมจัตุรัสซ้อนลดหลั่นกัน 3 หรือ 4 ชั้น รขึ้นไปเป็นฐานแว่นฟ้าทับกันค่อนข้างจะสูงรองรับเรือนธาตุ โดยเฉพาะพระเจดีย์ประธานวัดมหาธาตุ อำเภอเมืองจังหวัดสุโขทัย ที่สำคัญรองลงไปอย่างเช่น เจดีย์ประธานทรงดอกบัวตูมวัดเจดีย์เจ็ดแถวอำเภอศรีสัชนาลัย นักโบราณคดีรวมทั้งนักประวัติศาสตร์ศิลป์พากันสรรเสริญว่า พระเจดีย์ทรงบัวผุด เป็นสถาปัตยกรรมแบบจังหวัดสุโขทัยแท้ที่นักแสดงจังหวัดสุโขทัยคิดตัวอย่างของตัวเองขึ้น พระเจดีย์อย่างงี้นิยมสร้างไว้ตามเมืองต่างๆเว็บไซต์แทงบอล ในยุคจังหวัดสุโขทัยเพียงแค่นั้น ไม่มีการผลิตถัดมาในยุคกรุงศรีอยุธยาเลย

2.   เจดีย์ทรงระฆัง หรือดอกบัวคว่ำ
 มักเรียกกันโดยปกติว่า แบบลังกา ตามแนวคิดเดิมมั่นใจว่าได้รับอิทธิพลมาจากลังกาโดยตรง แต่ว่าถ้าเกิดใคร่ครวญในด้านของตัวอย่างศิลป์แล้ว จะมีความคิดเห็นว่าอิทธิพลทางศิลป์ของลังกามีไม่มากเท่าไรนัก เพราะเหตุว่าในระยะที่อิทธิพลของพระพุทธสาสนาหินยานจากลังกาทวีปหลั่งไหลเข้ามาสู้ศรีสัชนาลัยนั้น อิทธิพลศิลป์ประเทศอินเดียได้เข้ามาก่อนแล้ว ตัวอย่างเช่น สกุลช่างขว้างละ-เสนะ (Pala-Sena School) สกุลช่างโอริสสา(Orissan School) แล้วก็สกุลช่างโจฬะ (Chola School)

3. เจดีย์ทรงพระปรางค์
      พระปรางค์ของไทยโดยธรรมดามีลักษณะทรงคลี่คลายมาจากอิทธิพลตัวอย่างสถาปัตยกรรมสิขร ของเขมรและก็ประเทศอินเดียผสมกัน แต่ว่าไม่ได้เลียนแบบมาโดยตรง พุทธปรางค์ในยุคจังหวัดสุโขทัยแม้ว่าจะมีอยู่เพียงแค่ไม่กี่องค์ก็ตาม แต่ว่าก็มีปัญหาโต้แย้งกันในกลุ่มนักโบราณคดี นักประวัติศาสตร์ศิลป์ ส่วนมากลงความเห็นว่า ปรางค์ต่างๆเป็นปรางค์ที่เขมรสร้างไว้เมื่อครั้งยังมีอำนาจในเขตที่ลุ่มเจ้าพระยาและก็เลยขึ้นไปถึงสายธารยม ถัดมาเมื่อไทยมีอำนาจมากยิ่งขึ้น ได้ดัดแปลงปรับปรุงแก้ไขตกแต่งมากขึ้นตอนหลัง ก็เลยปรากฏแบบอย่างศิลป์ของความสามารถช่างไทย เป็นทรงสูงชลูด ความคิดเห็นส่วนน้อยเป็น เขมรไม่เคยมีอำนาจดูแลดินแดนบริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยาเลย ปรางค์ต่างๆล้วนเป็นฝีมือช่างไทยก่อสร้างขึ้นตามแบบอย่างเขมร พุทธปรางค์เท่าที่ปรากฏอยู่มี พระปรางค์วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ พระปรางค์วัดเจ้าจันทน์ ในอำเภอศรีสัชนาลัย พระปรางค์วัดศรีสวาย (สามองค์) พระปรางค์วัดพระพายหลวง (สามองค์) แล้วก็ศาลเขาหินตาแดง(ยอดพังทลายลงหมดแล้ว)ในอำเภอเมืองจังหวัดสุโขทัย

 4. เจดีย์ที่นั่ง หรือเจดีย์ทรงวิมาน
      แผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยม ย่อมุมไม้ยี่สิบ แล้วก็ย่อมุมไม้สิบสองเรือนธาตุมีซุ้มพุทธรูปทั้งยัง 4 ด้าน ส่วนยอดทำเป็นชั้นๆทับกันถึง 9 ชั้น รขึ้นไปเป็นรูป อามลกะ ตามแบบยอดสิขรของประเทศอินเดีย แล้วก็ยอดข้างบนสุดยอดเยี่ยมแหลม เจดีย์อย่างนี้เจออยู่ สามสี่องค์ ตัวอย่างเช่น ที่วัดชนะสงคราม วัดแอ่งเงิน ที่วัดเจดีย์เจ็ดแถว อำเภอศรีสัชนาลัย ก่อด้วยหินแลง ยอดทำเป็นชั้นลดหลั่นกันถึง 9 ชั้น อยู่ในภาวะค่อนข้างจะบริบูรณ์แล้วก็มีขนาดใหญ่

5. เจดีย์จอมแห
      เจดีย์แบบจอมแหนี้ ที่ฐานทำเป็นกลีบบัว 3 ชั้น ชั้นที่ 3 ทำเป็นซุ้มคูหาสำหรับตั้งพุทธรูปทั้งยังสี่ด้านสี่ด้าน เรือนพระเจดีย์ทำเป็นรูประฆังครอบปากผาย ออกเป็นแบบระฆัง 8 เหลี่ยม แต่ว่าในตอนที่เป็นตัวระฆังไม่กลมอวบเสมือนอย่างเจดีย์ทรงระฆังครอบ เป็น ทำเป็นอย่างซุ้มมีกลีบยาวเป็นลอนเรียงกันเป็นกลีบๆรอบองค์พระเจดีย์ นับได้ 28 กลีบ จากรูปแบบของรูปซุ้มเจดีย์ที่คล้ายกับร่างแหที่ห้อยผึ่งแดดห้อยไว้กับเสากระโดงเรือ ก็เลยเรียกกันว่า เจดีย์จอมแห มีเจอเพียงแต่ที่เดียวบนเนินวัดพระบาทน้อย อำเภอเมืองจังหวัดสุโขทัย แค่นั้น

 6. เจดีย์ทรงพระราชวัง
       เจดีย์อย่างนี้นักโบราณคดีเช้าใจกันว่าได้รับอิทธิพลตัวอย่างจากเจดีย์วัดมหาธาตุเมืองไชยา แล้วก็เจดีย์วัดมหาธาตุ เมืองนครศรีธรรมราช เป็นเจดีย์แบบหลายยอด ยกตัวอย่างเช่น เจดีย์วัดมหาธาตุ เมืองไชยา ลักษณะโดยปกติมีฐานสี่เหลี่ยมสูง เรือนธาตุเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส มีซุ้มติดตั้งพุทธรูปปางประทับยืนทั้งยัง 4 ด้าน แต่ละซุ้มนิยมจัดเสาแบนแล้วก็หน้าบันทับกันสองชั้น ลวดลายแต่งแต้มซุ้มประดิษฐ์เป็นรูปใบไม้ หรือขนยาวๆเรียงลดหลั่นกันซุ้มละ 7 อัน เหนือเรือนธาตุทำเป็นฐาน 8 เหลี่ยม ตรงส่วนที่เป็นบัวปากระฆังนิยมทำเป็น "บัวกรุ๊ป" องค์ระฆังตอนบนพองออกมากกว่าส่วนที่เป็นปากระฆัง มีลาย "รัดอก" หรือ "รัดเอว" คาดเป็นเครื่องเพชรพลอย ไม่มีบัลลังก์ เหนือองค์ระฆังทำเป็นบัวกรุ๊ปอีกสองชั้นก่อนจะถึงปลีกล้วยยอด ตามมุมเจดีย์ทั้งยังสี่มีการประดิษฐ์เจดีย์บริวารสี่เหลี่ยมขนาดเล็ก หรือ "สถูปิกะ" อาทิเช่น เจดีย์บริวารที่วัดมหาธาตุ อำเภอเมืองจังหวัดสุโขทัย รวมทั้งเจดีย์รายที่วัดเจดีย์เจ็ดแถว อำเภอศรีสัชนาลัย