สวัสดี บุคคลทั่วไป

เลือกเครื่องปรับอากาศอย่างไร เพื่อให้ประหยัดเงินในกระเป๋ามากที่สุด

  • 0 ตอบ
  • 287 อ่าน
*

ออฟไลน์ mmhaloha

  • *****
  • 4698
    • ดูรายละเอียด
ตอนสภาพอากาศมันอบอ้าว มันก็คงจะต้องหาอะไรเพื่อมาหายร้อนกันนิดนึง ใครชอบกิน ก็ค้นหาของกินรับประทานดับร้อนกันไป แต่หากว่าผู้ใดต้องการให้อากาศที่ที่พักอาศัยไม่อบอ้าวเหมือนกับนรก ก็คงต้องพึ่งพา "แอร์" หรือว่า "เครื่องปรับอากาศ" นั่นเอง หากใช้งานแอร์ บางคนก็ต้องหวั่นใจในเรื่องของค่าใช้จ่ายค่าไฟที่มันจะตามมาหลังจากนั้น แล้วเราจะมีเกณฑ์การเลือกยังไง เพื่อจะได้ทั้งสินค้าน่าพอใจ แต่ก็ยังประหยัดด้วย ไปดูกันเลย
ข้อแรกทุกคนจะจำเป็นต้องพิจารณาถึงแบบของเครื่องปรับอากาศต้องให้พอเหมาะต่อพื้นที่ในการทำงาน โดยตอนนี้นั้นมีหลากหลายรูปแบบให้เลือกหา โดยที่แต่ละรูปแบบก็มีคุณสมบัติแตกต่างกันไป ถ้าหากสมมติเลือกซื้อผิดนั้น ก็สามารถเป็นสาเหตุที่ทำให้ก่อให้เกิดผลเสียแก่เครื่องปรับอากาศ รวมถึงยังทำให้เปลืองพลังงานไปโดยใช่เหตุ โดยหลักๆ แล้ว เครื่องปรับอากาศจะแบ่งออกเป็นหลายประเภท ตัวอย่างเช่น เครื่องปรับอากาศติดกำแพง, แอร์ตั้งพื้น, เครื่องปรับอากาศติดฝ้าเพดาน รวมถึง เครื่องปรับอากาศเคลื่อนที่ ซึ่งแต่ละประเภท ประกอบด้วยรูปลักษณ์อย่างไรบ้าง ไปดูกันก่อนดีกว่า
ประเภทแรกก็คือเครื่องปรับอากาศติดผนัง โดยที่แอร์ประเภทนี้ เป็นที่ใช้มากกันอยู่แล้ว หรือว่าคงจะคุ้นชินกันอยู่ประจำ นั่นแหละ ซึ่งใช้งานที่หลายแบบ ประกอบด้วยรูปแบบการดีไซน์ที่ร่วมสมัย พร้อมด้วยก็มีขนาดกะทัดรัด แล้วยังยังช่วยเซฟไฟฟ้า รวมถึงสามารถรักษาสะดวก เพราะว่าแอร์ลักษณะนี้ เหมาะสำหรับห้องสัดส่วนย่อม หรือบ้านเรือน หรือว่าคอนโดทั่วไป ช่วยให้ตอบโจทย์ต่อความปรารถนากับการทำงานได้แบบหลากหลายแบบ
ถัดมาคือแอร์ตั้งขึ้นพื้น โดยที่แอร์ประเภทนี้เป็นแบบที่มีการกระจายความเย็นได้มาก สามารถสร้างความเย็นฉ่ำได้อย่างรวดเร็ว รวมถึงทนทานในการทำงาน รวมไปถึงทนทานกับฝุ่นควันอีกด้วย เพราะว่ารูปร่างของแอร์จะเป็นรูปแบบติดตั้งกับพื้น เหมาะสำหรับห้องที่มีขนาดกว้าง โรงงาน รวมถึงมีผู้คนมากมาย  ซึ่งเครื่องปรับอากาศแบบนี้จะทำงานใช้เสียงดัง เลยทำให้สิ้นเปลืองพลังงานมากกว่าเครื่องปรับอากาศชนิดอื่นๆ
ชนิดต่อมาคือประเภทเครื่องปรับอากาศติดฝ้าเพดาน โดยอย่างนี้จะเป็นเครื่องปรับอากาศ 4 ทิศทาง ตัวเครื่องเครื่องปรับอากาศ ท่อน้ำยา รวมถึงท่อน้ำเสีย สามารถติดตั้งข้างในฝ้าเพดาน ส่งผลให้สามารถคงรูปทรงความประณีตของห้องได้ตามเดิม ตัดทอนขีดจำกัดในการติด โดยเหมาะกับห้องที่เน้นในเรื่องความประณีต ช่วยให้ในบ้านสวยตามเดิม  แต่แอร์อย่างนี้มักมีมูลค่ามักจะสูงกว่าแอร์แบบอื่นๆ
ส่วนอย่างสุดท้ายก็คือแอร์เคลื่อนที่ ซึ่งแอร์ประเภทนี้จะไม่ซับซ้อนคล้ายกับแบบก่อนหน้า เพราะแค่เพียงเสียบปลั๊ก ก็ใช้งานได้เลย เพราะว่าเครื่องปรับอากาศกลุ่มนี้ใช้งานได้อย่างเดียวกันกับแอร์บ้านทั่วๆ ไป แต่ว่าไม่เหมือนใครก็ตรงที่สามารถขนย้ายได้ และก็ไม่จำเป็นต้องติดกับผนังด้วย เหมาะสมกับผู้ที่อาศัยหอ อพาร์ตเมนต์ คอนโดมิเนียม ดูแลก็ง่ายมาก เหมือนเครื่องปรับอากาศทั่วๆ ไปเลย
ย้อนกลับมาที่เกณฑ์การซื้อกันต่อ ถัดมาก็จำเป็นต้องเลือกสัดส่วนเครื่องปรับอากาศให้เหมาะกับขนาดห้อง เพราะถ้ารู้ขนาดห้องเรียบร้อยแล้วนั้น ทำให้ไม่ยากกับการเลือกสรรขนาดของแอร์และการคาดคะเนค่า BTU นั่นเอง เพื่อที่จะเหมาะสมกับการทำงานและทำให้
เซฟพลังงาน ซึ่งหลายคนอาจจะยังไม่ทราบว่า BTU คืออะไร โดยมันก็คือ ขนาดสร้างความเย็นของเครื่องปรับอากาศ โดยย่อมาจากคำว่า British Thermal Unit ซึ่ง 1 ตันความเย็น จะเท่ากับ 12000 BTU ต่อชั่วโมง เพราะฉะนั้นการซื้อ BTU จึงมีความจำเป็น เพราะจะเกี่ยวเนื่องกับ การประหยัดพลังงานและอายุการทำงานของแอร์นั่นเอง ถ้าหากซื้อเครื่องปรับอากาศที่มี BTU สูงเกินไป ก็ทำให้ใช้งานของคอมเพรสเซอร์ตัดบ่อย เนื่องจากมีการทำความเย็นได้อย่างรวดเร็ว จึงทำให้ความสามารถด้านในลดลง พร้อมกับยังมีผลกระทบให้มีความชื้นข้างในห้องมาก อาจทำให้ผู้อาศัยไม่สบาย หรือว่าป่วยได้ อีกทั้งยังทำให้เปลืองพลังงานอีกด้วย หรือไม่ก็ถ้าหากเลือกเครื่องปรับอากาศที่มี BTU ต่ำเกินไปก็จะทำให้คอมแอร์ทำงานตลอดเวลารวมถึงหนักจนเกินพอดี  เพราะว่าอุณหภูมิความเย็นไม่ตรงกับที่ปรับหรือกำหนดไว้  ซึ่งจะทำให้เป็นเหตุให้แอร์ทรุดโทรมได้ง่าย รวมถึงสิ้นเปลืองพลังงานอีกด้วย
                ถัดมาก็เป็นหลักไม่ยุ่งยาก เลยที่ใครเห็น ก็ต้องช่วยให้เลือกเลือกซื้อแน่นอน นั่นก็คือ การเลือกซื้อแอร์ที่ได้ฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 ก็เพราะว่านั่นหมายถึง ประสิทธิภาพในการใช้ไฟฟ้าที่คุ้มที่สุด เลยจะช่วยประหยัดไฟฟ้าและประหยัดรายจ่ายได้นั้นเอง

Tags : แอร์,เครื่องปรับอากาศ,แอร์ ราคา