สวัสดี บุคคลทั่วไป

เลือกเครื่องปรับอากาศอย่างไร เพื่อให้ประหยัดเงินในกระเป๋ามากที่สุด

  • 0 ตอบ
  • 222 อ่าน
*

ออฟไลน์ mmhaloha

  • *****
  • 4698
    • ดูรายละเอียด
พอสภาพอากาศมันอบอ้าว เลยก็เลยต้องค้นหาวิธีเพื่อดับร้อนกันซะหน่อย คนชอบทาน ก็มองหาอะไรทานดับร้อนกันไป อย่างไรก็ตามหากใครต้องการอากาศในที่พักไม่อบอ้าวเหมือนกับนรก ก็ต้องอาศัย "แอร์" หรือ "เครื่องปรับอากาศ" แล้วละ หากใช้งานเครื่องปรับอากาศ บางท่านก็ต้องวิตกกังวลในประเด็นของรายจ่ายค่าไฟที่มันจะไล่ตามมาหลังจากนั้น แต่ว่าทุกคนจะมีหลักเกณฑ์การเลือกซื้ออย่างใด ให้ได้ทั้งสินค้าน่าพอใจ แต่ก็ยังประหยัดด้วย ไปดูกันเลย
ข้อแรกเราจะน่าจะต้องพิจารณาถึงลักษณะของแอร์ควรจะให้พอดีต่อที่ตั้งกับการทำงาน โดยปัจจุบันนั้นมีหลายแบบให้เลือกสรร เพราะว่าแต่ละประเภทก็มีสเปคไม่เหมือนกันออกไป โดยสมมติตัดสินใจผิดนั้น ก็คงอาจจะส่งผลให้เกิดโทษต่อแอร์ รวมถึงยังทำให้เปลืองพลังงานไปโดยใช่เหตุ โดยหลักๆ แล้วนั้น เครื่องปรับอากาศจะแยกออกเป็นหลายกลุ่ม ได้แก่ แอร์ติดกำแพง, เครื่องปรับอากาศตั้งพื้น, เครื่องปรับอากาศติดฝ้าเพดาน และ แอร์เคลื่อนที่ โดยที่แต่ละชนิด มีลักษณะแบบใดบ้าง ไปดูกันก่อนดีกว่า
ประเภทแรกคือเครื่องปรับอากาศติดผนัง โดยที่เครื่องปรับอากาศแบบนี้ เป็นที่นิยมกันอยู่แล้ว หรือคงจะคุ้นตากันอยู่เสมอๆ นั่นแหละ ซึ่งการทำงานที่หลายแบบ มีรูปแบบการออกแบบที่ตามสมัยนิยม พร้อมด้วยก็มีขนาดกะทัดรัด อีกทั้งยังทำให้ลดการใช้ไฟฟ้า รวมทั้งสามารถทำนุบำรุงง่ายๆ เพราะแอร์ประเภทนี้ เหมาะสำหรับห้องขนาดไม่ใหญ่มาก และที่พักอาศัย หรือว่าคอนโดทั่วๆ ไป ทำให้ตรงใจต่อความอยากในการใช้งานได้แบบหลายรูปแบบ
ต่อมาคือเครื่องปรับอากาศตั้งพื้น ซึ่งเครื่องปรับอากาศประเภทนี้ถือเป็นแบบที่มีการกระจายความเย็นได้ดี สามารถสร้างความเย็นฉ่ำได้อย่างรวดเร็ว แล้วยังทนทานในการใช้งาน รวมถึงทนกับมลพิษอีกด้วย เพราะว่ารูปร่างของเครื่องปรับอากาศจะเป็นประเภทตั้งบนพื้น เหมาะสำหรับห้องที่มีพื้นที่ใหญ่ โรงงาน รวมทั้งมีประชากรหนาแน่น  ซึ่งเครื่องปรับอากาศอย่างนี้จะทำงานใช้เสียงดัง จึงส่งผลให้เปลืองไฟฟ้ากว่าแอร์แบบอื่นๆ
ประเภทต่อมาคือประเภทเครื่องปรับอากาศติดฝ้าเพดาน โดยกลุ่มนี้จะเป็นแอร์ 4 ทิศทาง เครื่องเครื่องปรับอากาศ ท่อน้ำยา และท่อน้ำเสีย สามารถติดตั้งด้านในฝ้าเพดาน ส่งผลให้สามารถเก็บรูปทรงความสวยหรูของห้องได้เหมือนเดิม ตัดทอนขีดจำกัดในการติดตั้ง โดยเหมาะสำหรับห้องที่เน้นในเรื่องความประณีต ทำให้ภายในบ้านเรียบร้อยเหมือนเดิม  แต่แอร์แบบนี้มักจะราคาค่อนข้างจะแพงกว่าเครื่องปรับอากาศลักษณะอื่นๆ
ส่วนอย่างสุดท้ายคือแอร์เคลื่อนที่ โดยเครื่องปรับอากาศประเภทนี้จะไม่ค่อยยุ่งยากเหมือนกับกับประเภทก่อนหน้า เพราะว่าเพียงเสียบปลั๊ก ก็ใช้งานได้เลย โดยแอร์อย่างนี้ใช้งานได้อย่างเดียวกันกับแอร์บ้านแบบปกติ แต่ว่าไม่เหมือนแบบอื่นก็ตรงที่สามารถขนย้ายได้ รวมถึงก็ไม่ต้องติดเข้ากับผนังด้วย เหมาะกับผู้ที่อาศัยหอ อพาร์ตเมนต์ คอนโดมิเนียม ดูแลรักษาก็ง่ายมาก เหมือนกับแอร์แบบปกติเลย
ย้อนกลับมาที่เกณฑ์การเลือกซื้อกันต่อ ต่อมาก็จำเป็นต้องซื้อสัดส่วนแอร์ให้เหมาะกับสัดส่วนห้อง ก็เพราะว่าเมื่อทราบขนาดห้องเรียบร้อยแล้วนั้น ก็จะง่ายกับการตัดสินใจซื้อขนาดของเครื่องปรับอากาศและการคิดค่า BTU นั่นเอง เพื่อเหมาะสมกับการทำงานและช่วย
ประหยัดไฟฟ้า เพราะหลายคนคงยังไม่ทราบว่า BTU หมายถึงอะไร โดยมันหมายถึง ขนาดสร้างความเย็นของเครื่องปรับอากาศ โดยย่อมาจากคำว่า British Thermal Unit โดย 1 ตันความเย็น จะเท่ากับ 12000 BTU ต่อชั่วโมง เพราะฉะนั้นการตัดสินใจ BTU ย่อมมีความจำเป็น เพราะว่าจะเกี่ยวเนื่องกับ การประหยัดพลังงานรวมทั้งอายุการทำงานของแอร์นั่นเอง หากเลือกแอร์ที่มี BTU สูงเกินพอดี ก็ทำให้ทำงานของคอมแอร์ตัดบ่อย เนื่องจากมีการทำความเย็นได้อย่างรวดเร็ว จึงทำให้ประสิทธิภาพด้านในถดถอย พร้อมกับยังมีผลให้ให้มีความชื้นข้างในห้องสูง อาจทำให้ผู้อาศัยไม่สบาย หรือว่าป่วยได้ อีกทั้งยังทำให้สิ้นเปลืองไฟฟ้าอีกด้วย หรือถ้าหากเลือกแอร์ที่มี BTU น้อยเกินไปก็จะส่งผลต่อคอมแอร์ถูกใช้งานทุกเวลารวมทั้งมากจนเกินพอดี  เพราะว่าอุณหภูมิความเย็นไม่ตรงตามที่ตั้งหรือกำหนดไว้  ซึ่งจะส่งผลเป็นเหตุให้แอร์เสียได้ง่ายๆ และสิ้นเปลืองพลังงานอีกด้วย
                ต่อมาก็เป็นแนวทางง่ายๆ เลยที่ไม่ว่าใคร ก็น่าจะต้องช่วยให้เลือกซื้อแน่นอน นั่นก็คือ การซื้อเครื่องปรับอากาศที่ได้สลากประหยัดไฟเบอร์ 5 เนื่องจากนั่นหมายถึง คุณภาพในการใช้งานไฟฟ้าที่คุ้มค่าที่สุด โดยจะช่วยประหยัดไฟฟ้าและประหยัดค่าใช้จ่ายได้นั้นเอง

Tags : แอร์,เครื่องปรับอากาศ,แอร์ ราคา