สวัสดี บุคคลทั่วไป

LED TV คืออะไร มีกี่ประเภท

  • 0 ตอบ
  • 253 อ่าน
LED TV คืออะไร มีกี่ประเภท
« เมื่อ: กุมภาพันธ์ 05, 2019, 08:58:37 PM »
หลายท่านบางครั้งก็อาจจะได้ ยินคำว่า LED จ้ะ คลับคล้ายคลับคลาว่าจะเป็นหลอดไฟฟ้า ซึ่งก็แน่นอนจ้ะเป็นความเข้าใจที่ถูกแล้ว LED ย่อมาจาก Light Emitting Diode ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดแสง เรียกว่า จิ๋ว{แต่|แต่ว่าแจ๋ว ทั้งที่หลอดเล็กแต่ว่าให้พลังงานไฟสูงนั่นเองค่ะ หลอดLEDเป็นตัวกำเนิดแสง และก็มี Liquid Crystal เป็นผลึกแข็งกึ่งเหลว มี 3 สีก็คือ สีแดง สีน้ำเงิน แล้วกสีเขียว Hybrid ตัวเป็นองศาเพื่อให้แสงจากหลอดLEDส่งลอดผ่านออกมาเป็นสีสันต่างๆนั่นเอง ในส่วนของ LED TV ก็คือโทรทัศน์ที่แปลงจากการใช้หลอด ccfl มาเป็นหลอด LED ซึ่งหลอด ccfl ก็คือ LCD TV นั่นเองจ้ะ
ประสิทธิภาพของทีวีแอลอีดีจิ๋วแต่แจ๋ว

มาดูกันที่เรื่องของสมรรถนะของ LED TV กันบ้างค่ะ อย่างที่บอกค่ะว่าโทรทัศน์ประเภทนี้เป็นทีวีที่ใช้หลอดเล็ก แต่ประสิทธิภาพคับแก้วในหลายๆแง่ เช่น ความสว่าง ระดับ 8 สีสันระดับ 9 ระดับสีดำระดับ 9 อัตราการกินไฟระดับ 10 ความบางระดับ 9 ระดับราคาระดับโลก ก็เลยนับได้ว่าเป็นราคาที่ถูกกว่าในรุ่น LCD TV ค่ะในเรื่องของความคุ้มค่าถึงแม้เครื่องจะแพงกว่าแต่ว่าโดยรวมแล้วค่าไฟในระยะยาวถูกกว่ามากมายเลยทีเดียวนะค่ะ ว่ากันว่าประสิทธิภาพของทีวีแอลอีดีอยู่ที่ระดับ 9 เต็ม 10 นั่นเองจ้ะ
คุณสมบัติที่ทำให้หลอดแบบแอลอีดี สามารถให้แสงไฟได้ดีมากว่า โดยที่ใช้ไฟน้อยกว่านั้นก็คือแอลอีดี เป็นต้นกำเนิดไฟที่มีคุณภาพ รวมทั้งที่สำคัญด้วยขนาดหลอดที่เล็กทำให้ LED TV มีความบางกว่า TV โดยทั่วๆไปที่ใช้หลอด ccfl Black Light แม้ราคาของตัวเครื่องทีวีแอลอีดีจะสูงมากยิ่งกว่าโทรทัศน์ LCD แต่ว่าในเรื่องของอัตราการกินไฟถือได้ว่าถูกกว่ามากๆ ด้วยเหตุนี้ในระยะยาวนับว่าคุ้มมากๆเลยทีเดียวล่ะจ้ะ
ประเภทของ LED TV
1. EDGE LED เป็นทีวีแอลอีดีชนิดที่วางหลอดแอลอีดีไว้ตามขอบของทีวีค่ะ ทั้งในส่วนของขอบบนขอบล่าง ขอบซ้ายขอบขวาของโทรทัศน์ ซึ่งแสงจากขอบพวกนี้ก็จะยิงเข้ามากึ่งกลางจอทีวีซึ่งมีข้อดีตรงที่ว่ามีความบางมากยิ่งกว่า LCD TV โดยทั่วๆไป ด้วยเหตุว่าหลอดLEDจะอยู่เพียงแค่ข้างๆจ้ะ ส่วนอีกประเด็นก็คือการประหยัดไฟอย่างแน่นอนอยู่แล้วล่ะจ้ะ แต่ว่าหน้าจอชนิดนี้ก็จะมีข้อเสียอยู่บางส่วนเมื่อเทียบกับแอลอีดีแบบแอลอีดี คือไม่สามารถทำ Local dimming หรือที่เรียกว่าเปิดปิด
2. FULL LED ประเภทที่ 2 นี้เราเรียกว่า Full LED ซึ่งจะมีการวางหลอดLEDเป็นแผงอยู่ด้านหลังของหน้าจอค่ะ ซึ่งครั้งคราวก็จะเรียกว่า Direct LED ด้วยการที่มีหลอดไฟอยู่ทางด้านหลังเป็นแผงคอยล์ให้กำเนิดแสงสว่างจะมีข้อดีของโทรทัศน์จำพวก Full LED แบบนี้ก็คือสามารถ ทำ Local dimming หรือทำเปิดปิดหลอดLEDเป็นกลุ่มหรือเฉพาะจุดได้อย่างอิสระ ตัวอย่างเช่น ด้านซ้ายเป็นสีดำ ทางด้านขวาเป็นสีขาวหลอดไฟ แอลอีดี แบล็คไลท์รอบๆทางซ้ายก็จะปิดเพื่อทำให้สีดำที่อยู่รอบๆทางซ้ายจอนั้นดำสนิทนั่นเองและในกลุ่มของLEDแบล็คไลท์ทางขวาก็จะเปิดขึ้นเพื่อให้แสงสว่างสามารถลอดออกมาเป็นสีขาวได้ค่ะ มีข้อดีก็จะต้องมีจุดด้อยอยู่เช่นเดียวกันค่ะ เป็นเพียงแต่จุดบกพร่องแค่เล็กน้อยเพียงเท่านั้นก็คือ ความหนาของตัวเครื่องที่มีมากยิ่งกว่าประเภทแรกนั่นเอง เหตุเพราะการที่จะจำเป็นต้องใช้หลอดไฟฟ้าหลายตัวไว้ข้างหลังของจอภาพทำให้ทีวีทำให้มีความหนามากขึ้นกว่าทีวีธรรมดาค่ะ
3. RGB LED ทีวีแอลอีดีจำพวกที่ 3 จ้ะจะใช้หลอดไฟแอลอีดีสีแดง สีเขียว สีน้ำเงินเป็นแผงอยู่ข้างหลัง ถือว่ากลุ่มนี้เป็นตัวท็อปของ LED TV ในปัจจุบันเลยก็ว่าได้ ซึ่งลักษณะการทำงานของทีวีจำพวกนี้ในเรื่องของการให้กำเนิดแสงสว่างก็จะคล้ายกับ โทรทัศน์ประเภท Full LED แต่มีสิ่งที่แตกต่างที่ดีมากยิ่งกว่าตรงที่แทนที่จะใช้หลอดแอลอีดีสีเดียว ซึ่งใน Full LED จะใช้สีขาวสำหรับการให้กำเนิดแสง แต่สำหรับในกลุ่มของ RGB LED นี้จะใช้หลอดแอลอีดี ที่มีแม่สีถึง 3 สีนั้นคือสีแดง สีเขียว สีน้ำเงินในการให้กำเนิดแสงสว่างแทนนั่นเองซึ่งหลอดไฟทั้ง 3 สีนี้เมื่อแยกการทำงานกันอย่างอิสระจะมีผลทำให้การสร้างสีที่ดียิ่งขึ้น เนื่องจากว่าแสงสว่างต้นขั้วออกมาเป็นแม่สีตั้งแต่ต้นค่ะ ความถูกต้องชัดเจน ความคมชัดของสีก็เลยมีเยอะขึ้นทำให้อรรถรสสำหรับเพื่อการชมโทรทัศน์ของพวกเรามีมากขึ้นตามไปด้วย ตลอดจนความสามารในการไล่เฉดสีและก็มิติของภาพก็ดีขึ้นตามไปด้วยค่ะ จากวิธีการดังที่กล่าวมาแล้วนี้แล้ว ก็เลยนับได้ว่าเป็น LED TV ที่ยอดเยี่ยมก็ว่าได้ รวมทั้งด้วยคุณสมบัติที่ดีเลิศพวกนี้ก็ย่อมทำให้ต้นทุนของทีวีชนิดนี้มีราคาที่สูงกว่าความสามารถสำหรับเพื่อการทำ Local dimming หรือการเปิดปิดไปเป็นกรุ๊ปๆได้อย่างอิสระ เพื่อให้ได้ที่สีดำที่ดำสนิทรวมทั้งคอนทราสที่มากขึ้นก็มีเช่นเดียวกันกับทีวีประเภทที่ 2 ส่วนจุดด้อยของกลุ่มนี้ก็จะอยู่ที่ราคาที่ค่อนข้างจะสูงขึ้นยิ่งกว่าตัวอื่นๆนั่นเองล่ะจ้ะ

Tags : LED