สวัสดี บุคคลทั่วไป

เลือกซื้อเครื่องปรับอากาศอย่างไร เพื่อที่จะประหยัดเงินในกระเป๋ามากที่สุด

  • 0 ตอบ
  • 221 อ่าน
เมื่ออากาศมันร้อน เลยก็เลยต้องค้นหาวิธีเพื่อมาดับอบอ้าวกันนิดนึง คนถนัดรับประทาน ก็หาของกินกินดับร้อนกันไป อย่างไรก็ตามหากใครอยากให้บรรยากาศในบ้านไม่ร้อนดั่งนรก ก็คงน่าจะต้องอาศัย "แอร์" หรือเรียกว่า "เครื่องปรับอากาศ" นั่นเอง แต่ถ้าใช้แอร์ บางคนก็คงจะกังวลใจด้านประเด็นของค่าใช้จ่ายค่าไฟฟ้าที่มันจะตามมาทีหลัง แต่ว่าเราจะมีเกณฑ์การตัดสินใจซื้ออย่างไร ให้ได้ทั้งของดี แต่ก็ยังประหยัดด้วย ไปดูกันเลย
อันดับแรกทุกคนจะจำเป็นต้องคำนึงถึงลักษณะของแอร์จำเป็นต้องให้เหมาะสมกับพื้นที่ในการใช้งาน ซึ่งปัจจุบันนี้นั้นมีหลายแบบให้เลือกสรร โดยที่แต่ละประเภทก็มีคุณลักษณะต่างกันออกไป ถ้าหากสมมติว่าเลือกซื้อผิดนั้น ก็คงอาจจะมีผลต่อเกิดโทษแก่แอร์ รวมถึงยังส่งผลให้เปลืองพลังงานไปโดยใช่เหตุ หลักๆ แล้วนั้น แอร์จะแบ่งออกเป็นหลากหลายลักษณะ ได้แก่ เครื่องปรับอากาศติดกำแพง, แอร์ตั้งพื้น, แอร์ฝังเพดาน รวมทั้ง เครื่องปรับอากาศเคลื่อนที่ โดยแต่ละประเภท ประกอบด้วยรูปลักษณ์เป็นอย่างไรบ้าง ไปพิจารณากันก่อนดีกว่า
อันแรกคือเครื่องปรับอากาศติดผนัง โดยที่แอร์ลักษณะนี้ เป็นที่ใช้มากกันอยู่แล้ว หรือไม่ก็ต้องคุ้นเคยกันอยู่ประจำ นั่นแหละ เพราะว่าการทำงานที่หลากหลาย และด้วยลักษณะการดีไซน์ที่ตามสมัยนิยม พร้อมด้วยก็มีสัดส่วนกะทัดรัด อีกทั้งยังช่วยลดการใช้พลังงาน รวมถึงสามารถดูแลง่าย โดยแอร์ลักษณะนี้ เหมาะกับห้องขนาดน้อย รวมทั้งที่พักอาศัย หรือคอนโดธรรมดา อาจจะตรงตามต่อความอยากกับการใช้งานได้แบบหลากหลายรูปแบบ
ถัดมาคือเครื่องปรับอากาศตั้งพื้น โดยเครื่องปรับอากาศลักษณะนี้ถือเป็นชนิดที่มีการกระจายความเย็นได้ดี สามารถสร้างความเย็นได้แบบรวดเร็ว รวมทั้งทนต่อการทำงาน รวมไปถึงทนกับมลพิษอีกด้วย เพราะว่าประเภทของแอร์จะเป็นรูปแบบติดตั้งกับพื้น เหมาะกับห้องที่มีพื้นที่ใหญ่ โรงงาน และมีผู้คนหนาแน่น  โดยที่แอร์ประเภทนี้จะทำงานใช้เสียงดัง เลยส่งผลให้เปลืองพลังงานกว่าแอร์อย่างอื่นๆ
แบบถัดมาเป็นประเภทเครื่องปรับอากาศติดฝ้าเพดาน โดยที่แบบนี้จะเป็นแอร์ 4 ทาง เครื่องแอร์ ท่อน้ำยา รวมถึงท่อน้ำทิ้ง สามารถติดภายในฝ้าเพดาน ช่วยให้สามารถคงรูปทรงความประณีตของห้องได้อย่างดี ลดข้อจำกัดในการติด โดยที่เหมาะสำหรับห้องที่เน้นในเรื่องความสวยหรู ช่วยให้ในบ้านสวยเหมือนเดิม  แต่เครื่องปรับอากาศอย่างนี้มักจะราคาค่อนข้างแพงมากกว่าแอร์อย่างอื่นๆ
และอย่างสุดท้ายก็คือแอร์เคลื่อนที่ ซึ่งแอร์ลักษณะนี้จะไม่ค่อยซับซ้อนเหมือนกับกับอย่างก่อนหน้า เพราะว่าแค่เสียบปลั๊ก ก็ใช้งานได้เลย เพราะว่าเครื่องปรับอากาศประเภทนี้ใช้งานได้เหมือนกันกับเครื่องปรับอากาศบ้านธรรมดา แต่ไม่เหมือนอันอื่นก็ตรงที่สามารถขนย้ายได้ รวมทั้งก็ไม่จำเป็นต้องติดกับผนังด้วย เหมาะสมกับผู้ที่อาศัยหอ อพาร์ตเมนต์ คอนโดมิเนียม ดูแลก็สะดวกมาก เหมือนแอร์แบบปกติเลย
กลับมาที่หลักเกณฑ์การตัดสินใจซื้อกันต่อ ถัดจากนั้นก็ควรจะซื้อขนาดเครื่องปรับอากาศให้เหมาะสมสัดส่วนห้อง เพราะเมื่อรู้ขนาดห้องแล้วนั้น ก็จะไม่ยากกับการเลือกสรรขนาดของแอร์และการคิดค่า BTU นั่นเอง เพื่อเหมาะสมกับการใช้งานและช่วย
ประหยัดพลังงาน โดยที่หลายคนอาจยังไม่เข้าใจว่า BTU คืออะไร โดยมันหมายถึง ขนาดสร้างความเย็นของเครื่องปรับอากาศ โดยย่อมาจากคำว่า British Thermal Unit ซึ่ง 1 ตันความเย็น จะเท่ากับ 12000 BTU ต่อชั่วโมง เพราะฉะนั้นการซื้อ BTU จึงมีความจำเป็น เพราะว่าจะเกี่ยวข้องกับ การประหยัดพลังงานกับอายุการทำงานของแอร์นั่นเอง หากซื้อแอร์ที่มี BTU มากเกินพอดี ก็ทำให้ทำงานของคอมเพรสเซอร์ตัดบ่อย เนื่องจากมีการทำความเย็นได้อย่างรวดเร็ว จะทำให้ประสิทธิภาพข้างในถดถอย รวมทั้งยังส่งผลให้เกิดความชื้นข้างในห้องมาก ทำให้ผู้ที่อยู่อาศัยป่วย หรือไม่ก็ไม่สบายได้ แล้วยังทำให้สิ้นเปลืองพลังงานอีกด้วย หรือว่าหากเลือกซื้อแอร์ที่มี BTU ต่ำเกินไปก็จะส่งผลต่อคอมเพรสเซอร์ทำงานตลอดเวลารวมถึงหนักจนเกินไป  เพราะอุณหภูมิความเย็นไม่ตรงตามที่ตั้งหรือกำหนดไว้  โดยจะมีผลให้ทำให้แอร์เสียได้ง่ายๆ และเปลืองไฟฟ้าอีกเช่นกัน
                ต่อมาจะเป็นหลักง่ายๆ เกินที่ไม่ว่าใคร ก็คงจะช่วยให้ตัดสินใจตัดสินใจแน่นอน คือ การซื้อแอร์ที่ได้สลากประหยัดไฟเบอร์ 5 เพราะว่านั่นหมายความว่า คุณภาพในการใช้งานไฟฟ้าที่คุ้มค่าที่สุด ก็จะทำให้ประหยัดไฟฟ้าและประหยัดค่าใช้จ่ายได้นั้นเอง

Tags : แอร์,เครื่องปรับอากาศ,แอร์ ราคา