สวัสดี บุคคลทั่วไป

ซื้อเครื่องปรับอากาศอย่างไร เพื่อให้ประหยัดเงินในกระเป๋าที่สุด

  • 0 ตอบ
  • 194 อ่าน
พออากาศมันอบอ้าว มันก็คงจะต้องค้นหาอะไรเพื่อมาหยุดอบอ้าวกันนิดนึง คนถนัดกิน ก็มองหาอะไรรับประทานคลายร้อนกันไป แต่ว่าหากใครต้องการให้บรรยากาศภายในที่พักไม่อบอ้าวดั่งนรก ก็คงจำเป็นต้องพึ่งพา "แอร์" หรือ "เครื่องปรับอากาศ" นั่นเอง หากใช้งานเครื่องปรับอากาศ บางท่านก็ต้องกังวลด้านประเด็นของรายจ่ายค่าไฟฟ้าที่มันจะไล่ตามมาภายหลัง แต่ว่าเราจะมีเกณฑ์การซื้อยังไง ให้ได้ทั้งของคุณภาพ แต่ก็ยังประหยัดด้วย ไปดูกันเลย
อย่างแรกทุกคนจะต้องคิดถึงลักษณะของแอร์ควรให้พอดีกับสถานที่ในการใช้งาน ซึ่งปัจจุบันนี้นั้นมีหลายรูปแบบให้เลือกหา เพราะแต่ละรูปแบบก็มีสเปคไม่เหมือนกันออกไป โดยสมมติว่าซื้อผิดนั้น ทำให้อาจจะมีผลต่อเกิดโทษแก่เครื่องปรับอากาศ และยังส่งผลให้เปลืองพลังงานไปอีก หลักๆ แล้ว แอร์จะแบ่งออกเป็นหลากหลายกลุ่ม อย่างเช่น เครื่องปรับอากาศติดผนัง, เครื่องปรับอากาศตั้งพื้น, แอร์ติดฝ้าเพดาน รวมถึง แอร์เคลื่อนที่ โดยที่แต่ละประเภท มีรูปลักษณ์แบบใดบ้าง ไปพิจารณากันก่อนดีกว่า
อย่างแรกเป็นแอร์ติดกำแพง ซึ่งเครื่องปรับอากาศลักษณะนี้ เป็นที่นิยมกันอยู่แล้ว หรือว่าต้องคุ้นเคยกันอยู่ประจำ นั่นแหละ เพราะว่าใช้งานที่หลากหลาย มีลักษณะการออกแบบที่ร่วมสมัย พร้อมด้วยก็มีขนาดกะทัดรัด แล้วยังยังช่วยประหยัดไฟฟ้า รวมถึงสามารถดูแลรักษาสะดวก เพราะแอร์ประเภทนี้ เหมาะสำหรับห้องพื้นที่ย่อม รวมทั้งบ้านเรือน หรือคอนโดทั่วๆ ไป สามารถตอบโจทย์กับความอยากกับการใช้งานได้อย่างหลายแบบ
ถัดมาเป็นเครื่องปรับอากาศตั้งขึ้นพื้น โดยที่เครื่องปรับอากาศลักษณะนี้คือประเภทที่มีการแผ่กระจายความเย็นฉ่ำได้สูง สามารถทำความเย็นฉ่ำได้แบบรวดเร็ว รวมทั้งทนทานต่อการใช้งาน รวมไปถึงทนทานกับมลพิษอีกด้วย เพราะว่าประเภทของเครื่องปรับอากาศจะเป็นประเภทติดตั้งกับพื้น เหมาะกับห้องที่มีพื้นที่กว้าง โรงงาน และมีประชากรคับคั่ง  โดยที่แอร์ประเภทนี้จะทำงานใช้อึกทึก เลยทำให้เปลืองไฟฟ้ามากกว่าแอร์แบบอื่นๆ
ชนิดถัดมาคือกลุ่มเครื่องปรับอากาศติดฝ้าเพดาน โดยชนิดนี้จะคือเครื่องปรับอากาศ 4 ทิศทาง ตัวเครื่องแอร์ ท่อน้ำยา และท่อน้ำเสีย สามารถติดตั้งด้านในฝ้าเพดาน ส่งผลให้สามารถคงทรงความประณีตของห้องได้ตามเดิม ตัดทอนขีดจำกัดในการติด ซึ่งเหมาะสำหรับห้องที่จำเป็นในเรื่องความเรียบร้อย ช่วยให้ในบ้านเรียบร้อยเหมือนเดิม  อย่างไรก็ตามเครื่องปรับอากาศอย่างนี้จะมีสนนราคามักสูงกว่าแอร์แบบอื่นๆ
ส่วนประเภทสุดท้ายคือเครื่องปรับอากาศเคลื่อนที่ โดยเครื่องปรับอากาศชนิดนี้จะไม่ค่อยยุ่งยากเหมือนกับชนิดก่อน เพราะแค่เพียงเสียบปลั๊ก ก็ใช้งานได้เลย เพราะแอร์ลักษณะนี้ใช้ได้อย่างเดียวกันกับเครื่องปรับอากาศบ้านแบบปกติ แต่ไม่เหมือนใครก็ตรงที่สามารถเคลื่อนย้ายได้ รวมทั้งก็ไม่จำเป็นต้องติดตั้งกับผนังด้วย เหมาะสมกับผู้ที่อยู่หอพัก อพาร์ตเมนต์ คอนโดมิเนียม ทำนุบำรุงก็ง่ายดาย เหมือนแอร์ธรรมดาเลย
ย้อนกลับมาที่เกณฑ์การตัดสินใจซื้อกันต่อ ต่อมาก็จำเป็นต้องเลือกซื้อสัดส่วนแอร์ให้เข้ากันกับขนาดห้อง เพราะเมื่อทราบสัดส่วนห้องเรียบร้อยแล้วนั้น ทำให้ง่ายกับการตัดสินใจซื้อขนาดของเครื่องปรับอากาศและการคำนวณค่า BTU นั่นเอง เพื่อให้เหมาะกับการทำงานและช่วย
ประหยัดพลังงาน เพราะหลายคนอาจยังไม่ทราบว่า BTU คืออะไร โดยมันคือ ขนาดทำความเย็นของเครื่องปรับอากาศ โดยย่อมาจากคำว่า British Thermal Unit ซึ่ง 1 ตันความเย็น จะเท่ากับ 12000 BTU ต่อชั่วโมง ดังนั้นการเลือก BTU จึงมีความจำเป็น เนื่องจากจะเกี่ยวข้องกับ การประหยัดพลังงานและอายุการใช้งานของเครื่องปรับอากาศนั่นเอง ถ้าหากเลือกเครื่องปรับอากาศที่มี BTU สูงเกินพอดี ก็จะทำให้ทำงานของคอมแอร์ตัดบ่อย เนื่องจากมีการทำความเย็นได้อย่างรวดเร็ว จะทำให้ความสามารถภายในถดถอย รวมถึงยังมีผลกระทบให้มีความชื้นข้างในห้องมาก ส่งผลให้ผู้ที่อยู่อาศัยป่วย หรือป่วยได้ แล้วยังทำให้เปลืองไฟฟ้าอีกด้วย หรือหากเลือกเครื่องปรับอากาศที่มี BTU น้อยเกินไปก็จะทำให้คอมเพรสเซอร์ทำงานทุกเวลารวมทั้งหนักจนเกินพอดี  ก็เพราะว่าอุณหภูมิความเย็นไม่ตรงตามที่ตั้งหรือกำหนดไว้  โดยจะทำให้เป็นเหตุให้แอร์ทรุดโทรมได้ง่ายๆ รวมถึงสิ้นเปลืองไฟฟ้าอีกเช่นกัน
                ถัดมาก็เป็นแนวทางไม่ยุ่งยาก เกินที่ใครเห็น ก็ต้องทำให้ตัดสินใจซื้อแน่นอน นั่นก็คือ การเลือกสรรเครื่องปรับอากาศที่ได้สลากประหยัดไฟเบอร์ 5 เพราะนั่นหมายความว่า คุณภาพในการใช้งานไฟฟ้าที่คุ้มค่าที่สุด โดยจะทำให้ประหยัดพลังงานและประหยัดค่าใช้จ่ายได้นั้นเอง

Tags : แอร์,เครื่องปรับอากาศ,แอร์ ราคา