สวัสดี บุคคลทั่วไป

เลือกแอร์อย่างไร เพื่อให้เซฟเงินในกระเป๋าที่สุด

  • 0 ตอบ
  • 203 อ่าน
*

ออฟไลน์ mmhaloha

  • *****
  • 4698
    • ดูรายละเอียด
พออากาศมันร้อน เลยก็คงจะต้องหาอะไรเพื่อดับร้อนกันนิดนึง ใครชอบรับประทาน ก็มองหาของกินกินคลายร้อนกันไป แต่อย่างไรก็ตามหากผู้ใดต้องการให้บรรยากาศภายในที่พักไม่อบอ้าวดั่งนรก ก็จำเป็นต้องพึ่งพา "แอร์" หรือว่า "เครื่องปรับอากาศ" นั่นเอง หากใช้งานแอร์ บางท่านก็คงจะกังวลส่วนเรื่องของรายจ่ายค่าไฟฟ้าที่มันจะตามมาต่อจากนั้น แล้วเราจะมีเกณฑ์การซื้ออย่างไร ให้ได้ทั้งสินค้าคุณภาพดี แล้วก็ยังประหยัดด้วย ไปดูกันเลย
ข้อแรกทุกคนจะน่าจะต้องนึกถึงประเภทของแอร์น่าจะต้องให้พอเหมาะกับสถานที่และการใช้งาน ซึ่งตอนนี้นั้นมีหลากหลายแบบให้เลือก เพราะว่าแต่ละอย่างก็มีคุณสมบัติแตกต่างกันออกไป ถ้าหากตัดสินใจผิดนั้น ทำให้สามารถทำให้อาจจะโทษกับแอร์ รวมถึงยังทำให้เปลืองพลังงานไปโดยใช่เหตุ โดยหลักๆ แล้วนั้น เครื่องปรับอากาศจะแบ่งออกเป็นหลายหมวดหมู่ อย่างเช่น แอร์ติดกำแพง, เครื่องปรับอากาศตั้งพื้น, แอร์ฝังเพดาน รวมทั้ง แอร์เคลื่อนที่ โดยที่แต่ละอย่าง ประกอบด้วยลักษณะอย่างไรบ้าง ไปพิจารณากันเลย
อันแรกคือเครื่องปรับอากาศติดผนัง โดยแอร์ชนิดนี้ เป็นที่ใช้มากกันอยู่แล้ว หรือต้องคุ้นตากันอยู่ประจำ นั่นแหละ ซึ่งใช้งานที่หลายแบบ และด้วยลักษณะการดีไซน์ที่ทันสมัย รวมทั้งก็มีขนาดพอดี แล้วยังยังช่วยลดการใช้ไฟฟ้า และสามารถดูแลรักษาสะดวกสบาย เพราะแอร์แบบนี้ เหมาะสำหรับห้องขนาดย่อมๆ รวมทั้งที่พักอาศัย หรือคอนโดทั่วไป สามารถตอบโจทย์กับความต้องการกับการใช้งานได้อย่างหลากหลายแบบ
ต่อมาเป็นเครื่องปรับอากาศตั้งพื้น ซึ่งเครื่องปรับอากาศรุปแบบนี้เป็นแบบที่มีการแผ่กระจายความเย็นฉ่ำได้มาก สามารถสร้างความเย็นได้แบบรวดเร็ว รวมทั้งทนทานในการใช้งาน รวมถึงทนทานต่อฝุ่นควันอีกด้วย เพราะว่ารูปร่างของแอร์จะเป็นชนิดติดตั้งกับพื้น เหมาะสำหรับห้องที่มีสัดส่วนกว้าง โรงงาน และมีประชากรหนาแน่น  โดยเครื่องปรับอากาศประเภทนี้จะทำงานใช้เสียงดัง ก็เลยส่งผลให้สิ้นเปลืองพลังงานกว่าเครื่องปรับอากาศชนิดอื่นๆ
ประเภทต่อไปคือแบบเครื่องปรับอากาศติดฝ้าเพดาน ซึ่งกลุ่มนี้จะเป็นเครื่องปรับอากาศ 4 ทาง เครื่องเครื่องปรับอากาศ ท่อน้ำยา และท่อน้ำทิ้ง สามารถติดตั้งภายในฝ้าเพดาน ช่วยให้สามารถคงรูปทรงความดูดีของห้องได้อย่างดี ลดข้อจำกัดในการติดตั้ง ซึ่งเหมาะสำหรับห้องที่มุ่งเน้นในเรื่องความประณีต ทำให้ในบ้านสวยงามเหมือนเดิม  แต่เครื่องปรับอากาศอย่างนี้มักมีราคาโดยมากสูงมากกว่าแอร์ประเภทอื่นๆ
ส่วนแบบท้ายที่สุดคือเครื่องปรับอากาศเคลื่อนที่ ซึ่งเครื่องปรับอากาศลักษณะนี้จะไม่ค่อยซับซ้อนเหมือนกับกับแบบก่อน เพราะเพียงเสียบปลั๊ก ก็ใช้งานได้เลย โดยแอร์อย่างนี้ใช้ได้เหมือนกันกับเครื่องปรับอากาศที่อยู่อาศัยทั่วไป แต่ไม่เหมือนใครก็ตรงที่สามารถขนย้ายได้ รวมถึงก็ไม่ต้องติดกับตัวบ้านด้วย เหมาะกับผู้ที่อยู่หอพัก อพาร์ตเมนต์ คอนโดมิเนียม ดูแลก็ง่ายมาก เหมือนเครื่องปรับอากาศทั่วๆ ไปเลย
ย้อนกลับมาที่หลักเกณฑ์การซื้อกันต่อ ต่อมาก็จำเป็นต้องเลือกขนาดเครื่องปรับอากาศให้เหมาะกับพื้นที่ห้อง เพื่อที่เมื่อทราบขนาดห้องแล้วนั้น มันก็จะไม่ยากกับการเลือกขนาดของแอร์และการคิดค่า BTU นั่นเอง เพื่อที่จะเหมาะสมกับการทำงานและช่วย
ประหยัดไฟฟ้า โดยที่หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่า BTU คืออะไร โดยมันคือ ขนาดสร้างความเย็นของแอร์ โดยย่อมาจากคำว่า British Thermal Unit ซึ่ง 1 ตันความเย็น จะเท่ากับ 12000 BTU ต่อชั่วโมง ฉะนั้นการเลือกซื้อ BTU จึงมีความสำคัญ เพราะจะเกี่ยวข้องกับ การประหยัดพลังงานรวมทั้งอายุการใช้งานของเครื่องปรับอากาศนั่นเอง ซึ่งหากเลือกเครื่องปรับอากาศที่มี BTU สูงเกินไป ก็จะทำให้ทำงานของคอมเพรสเซอร์ตัดบ่อย เนื่องจากมีการทำความเย็นได้อย่างรวดเร็ว จะทำให้ประสิทธิภาพภายในน้อยลง รวมถึงยังมีผลกระทบให้เกิดความชื้นข้างในห้องสูง ทำให้ผู้อาศัยไม่สบาย หรือป่วยได้ แล้วยังทำให้สิ้นเปลืองพลังงานอีกด้วย หรือถ้าหากตัดสินใจเครื่องปรับอากาศที่มี BTU ต่ำเกินไปก็จะส่งผลให้คอมเพรสเซอร์ถูกใช้งานตลอดเวลาและมากจนเกินพอดี  ก็เพราะว่าอุณหภูมิความเย็นไม่ตรงกับที่ปรับหรือกำหนดไว้  ก็จะมีผลให้เป็นเหตุให้แอร์เสียได้ง่ายๆ และเปลืองพลังงานอีกเช่นกัน
                ถัดไปก็คือหลักง่ายๆ เลยที่ไม่ว่าใคร ก็คงจะทำให้เลือกเลือกแน่นอน นั่นก็คือ การตัดสินใจซื้อเครื่องปรับอากาศที่ได้รับฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 เพราะนั่นหมายความว่า คุณภาพในการใช้ไฟฟ้าที่คุ้มที่สุด ซึ่งจะช่วยประหยัดพลังงานและประหยัดค่าใช้จ่ายได้นั้นเอง
คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง : แอร์ ราคา

Tags : แอร์,เครื่องปรับอากาศ,แอร์ ราคา