สวัสดี บุคคลทั่วไป

ตัดสินใจซื้อแอร์อย่างไร เพื่อที่จะเซฟเงินในกระเป๋าที่สุด

  • 0 ตอบ
  • 220 อ่าน
พอสภาพอากาศมันร้อน เลยก็คงจะต้องค้นหาอะไรมาหายร้อนกันซะหน่อย ใครชอบทาน ก็มองหาของกินทานคลายร้อนกันไป แต่ว่าหากผู้ใดต้องการอากาศภายในที่พักอาศัยไม่ร้อนเหมือนกับนรก ก็คงต้องพึ่งพา "แอร์" หรือเรียกว่า "เครื่องปรับอากาศ" แล้วละ หากใช้เครื่องปรับอากาศ บางคนก็คงจะไม่สบายใจด้านประเด็นของค่าใช้จ่ายค่าไฟฟ้าที่มันจะตามมาต่อจากนั้น แต่ว่าทุกคนจะมีเกณฑ์การตัดสินใจซื้ออย่างใด เพื่อจะได้ทั้งสินค้าดี แต่ก็ยังประหยัดด้วย ไปดูกันเลย
อย่างแรกเราจะควรจะคำนึงถึงแบบของเครื่องปรับอากาศจำเป็นต้องให้เหมาะต่อพื้นที่ในการใช้งาน โดยสมัยนี้นั้นมีหลายหลากแบบให้เลือกหา เพราะว่าแต่ละประเภทก็มีสเปคแตกต่างกันไป หากสมมติว่าซื้อผิดนั้น ก็สามารถเป็นสาเหตุที่ทำให้ก่อให้เกิดโทษต่อแอร์ รวมถึงยังทำให้สิ้นเปลืองพลังงานไปโดยใช่เหตุ หลักๆ แล้ว แอร์จะแบ่งออกเป็นหลายแบบ ตัวอย่างเช่น แอร์ติดผนัง, เครื่องปรับอากาศตั้งพื้น, แอร์ติดฝ้าเพดาน รวมทั้ง เครื่องปรับอากาศเคลื่อนที่ ซึ่งแต่ละอย่าง ประกอบด้วยรูปลักษณ์อย่างไรบ้าง ไปพิจารณากันก่อนดีกว่า
อันแรกเป็นเครื่องปรับอากาศติดผนัง โดยที่แอร์อย่างนี้ เป็นที่ใช้มากกันอยู่แล้ว หรือว่าต้องคุ้นตากันอยู่เป็นประจำ นั่นแหละ เพราะใช้งานที่หลากหลาย ประกอบด้วยรูปแบบการดีไซน์ที่ตามสมัยนิยม พร้อมด้วยก็มีสัดส่วนพอดี อีกทั้งยังช่วยเซฟไฟฟ้า รวมทั้งสามารถรักษาง่าย เพราะว่าแอร์รูปแบบนี้ เหมาะกับห้องขนาดไม่ใหญ่มาก หรือบ้าน หรือคอนโดทั่วๆ ไป อาจจะตอบโจทย์กับความปรารถนากับการทำงานได้แบบหลายแบบ
ถัดมาคือแอร์ตั้งขึ้นพื้น ซึ่งเครื่องปรับอากาศลักษณะนี้ถือเป็นชนิดที่มีการแผ่กระจายความเย็นได้สูง สามารถทำความเย็นฉ่ำได้แบบรวดเร็ว แล้วยังทนต่อการทำงาน รวมถึงทนทานต่อฝุ่นควันอีกด้วย เพราะว่าลักษณะของแอร์จะเป็นแบบตั้งกับพื้น เหมาะสำหรับห้องที่มีสัดส่วนใหญ่ โรงงาน หรือมีประชากรคับคั่ง  ซึ่งแอร์ชนิดนี้จะทำงานใช้อึกทึก ก็เลยทำให้เปลืองพลังงานกว่าแอร์อย่างอื่นๆ
อย่างถัดไปคือกลุ่มแอร์ติดฝ้าเพดาน โดยที่อย่างนี้จะเป็นเครื่องปรับอากาศ 4 ทิศทาง เครื่องเครื่องปรับอากาศ ท่อน้ำยา และท่อน้ำเสีย สามารถติดข้างในฝ้าเพดาน ส่งผลให้สามารถเก็บทรงความสวยหรูของห้องได้ดังเดิม ลดข้อจำกัดในการติดตั้ง ซึ่งเหมาะสมสำหรับห้องที่ต้องการในเรื่องความเรียบร้อย ช่วยให้ในบ้านสวยงามเหมือนเดิม  แต่ว่าเครื่องปรับอากาศชนิดนี้มักมีสนนราคาโดยมากสูงมากกว่าแอร์แบบอื่นๆ
และแบบท้ายที่สุดคือเครื่องปรับอากาศเคลื่อนที่ โดยเครื่องปรับอากาศลักษณะนี้จะไม่ค่อยซับซ้อนคล้ายกับชนิดก่อน ก็เพราะว่าเพียงแค่เสียบปลั๊ก ก็ใช้งานได้เลย โดยที่แอร์ประเภทนี้ใช้ได้เหมือนกันกับแอร์บ้านธรรมดา แต่ว่าไม่เหมือนอันอื่นก็ตรงที่สามารถขนย้ายได้ และก็ไม่ต้องติดตั้งเข้ากับบ้านด้วย เหมาะกับคนที่อาศัยหอ อพาร์ตเมนต์ คอนโดมิเนียม ดูแลก็ง่ายดาย เหมือนเครื่องปรับอากาศธรรมดาเลย
ย้อนกลับมาที่หลักเกณฑ์การซื้อกันต่อ ถัดจากนั้นก็ต้องเลือกสัดส่วนแอร์ให้เหมาะสมขนาดห้อง ก็เพราะว่าถ้าทราบพื้นที่ห้องแล้วนั้น ทำให้ง่ายกับการเลือกซื้อขนาดของเครื่องปรับอากาศและการคำนวณค่า BTU นั่นเอง เพื่อให้พอเหมาะกับการใช้งานและช่วย
เซฟไฟฟ้า เพราะว่าหลายคนคงจะยังไม่ทราบว่า BTU หมายถึงอะไร โดยมันหมายถึง ขนาดสร้างความเย็นของแอร์ โดยย่อมาจากคำว่า British Thermal Unit โดยที่ 1 ตันความเย็น จะเท่ากับ 12000 BTU ต่อชั่วโมง เพราะฉะนั้นการเลือกซื้อ BTU ย่อมมีความจำเป็น เนื่องจากจะเกี่ยวข้องกับ การประหยัดพลังงานรวมถึงอายุการทำงานของเครื่องปรับอากาศนั่นเอง ถ้าหากตัดสินใจเครื่องปรับอากาศที่มี BTU มากเกินพอดี ก็ทำให้ทำงานของคอมเพรสเซอร์ตัดบ่อย เนื่องจากมีการทำความเย็นได้อย่างรวดเร็ว จึงทำให้ประสิทธิภาพข้างในลดลง และยังมีผลกระทบให้เกิดความชื้นภายในห้องมาก ทำให้ผู้ที่อยู่อาศัยไม่สบาย หรือว่าไม่สบายได้ อีกทั้งยังทำให้สิ้นเปลืองพลังงานอีกด้วย หรือว่าสมมติว่าซื้อเครื่องปรับอากาศที่มี BTU น้อยเกินไปก็จะส่งผลต่อคอมแอร์ทำงานตลอดเวลารวมถึงหนักจนเกินควร  เพราะอุณหภูมิความเย็นไม่ตรงกับที่ตั้งหรือกำหนดไว้  ก็จะทำให้ทำให้แอร์เสียได้ง่ายๆ และเปลืองพลังงานอีกด้วย
                ถัดมาจะเป็นแนวทางไม่ยาก เลยที่ไม่ว่าใคร ก็คงจะช่วยให้เลือกเลือกซื้อแน่นอน ก็คือ การเลือกเครื่องปรับอากาศที่ได้สลากประหยัดไฟเบอร์ 5 เพราะว่านั่นคือ ประสิทธิภาพในการใช้พลังงานที่คุ้มค่าที่สุด ซึ่งจะทำให้ประหยัดไฟฟ้าและประหยัดเงินได้นั้นเอง

Tags : แอร์,เครื่องปรับอากาศ,แอร์ ราคา