สวัสดี บุคคลทั่วไป

เลือกซื้อเครื่องปรับอากาศเช่นใด เพื่อให้ประหยัดเงินทองในกระเป๋ามากที่สุด

  • 0 ตอบ
  • 243 อ่าน
ตอนอากาศมันอบอ้าว มันก็เลยต้องค้นหาวิธีเพื่อดับอบอ้าวกันสักหน่อย คนชอบบริโภค ก็ค้นหาอะไรรับประทานคลายร้อนกันไป แต่หากว่าใครอยากให้บรรยากาศภายในที่พักอาศัยไม่ร้อนเหมือนกับนรก ก็คงจำเป็นต้องพึ่งพา "แอร์" หรือ "เครื่องปรับอากาศ" แล้วละ หากใช้เครื่องปรับอากาศ บางท่านก็คงจะวิตกกังวลในเรื่องของค่าใช้จ่ายค่าไฟฟ้าที่มันจะตามมาหลังจากนั้น แต่ว่าทุกคนจะมีเกณฑ์การเลือกซื้ออย่างไร เพื่อจะได้ทั้งของดี แต่ก็ยังประหยัดด้วย ไปดูกันเลย
อย่างแรกเราจะน่าจะต้องคำนึงถึงประเภทของแอร์จำเป็นต้องให้พอดีกับที่ตั้งรวมถึงการใช้งาน เพราะปัจจุบันนั้นมีหลายหลากรูปแบบให้เลือกหา เพราะว่าแต่ละรูปแบบก็มีสเปคต่างกันไป หากสมมติว่าเลือกซื้อผิดนั้น ก็คงสามารถเป็นเหตุให้เกิดผลเสียแก่แอร์ รวมถึงยังส่งผลให้สิ้นเปลืองพลังงานไปโดยใช่เหตุ หลักๆ แล้วนั้น แอร์จะแยกออกเป็นหลากหลายหมวดหมู่ ได้แก่ แอร์ติดผนัง, แอร์ตั้งพื้น, เครื่องปรับอากาศติดฝ้าเพดาน รวมทั้ง แอร์เคลื่อนที่ ซึ่งแต่ละชนิด ประกอบด้วยลักษณะอย่างไรบ้าง ไปพิจารณากันก่อนดีกว่า
ประเภทแรกก็คือเครื่องปรับอากาศติดกำแพง โดยแอร์ลักษณะนี้ เป็นที่ใช้มากกันอยู่แล้ว หรือไม่ก็น่าจะต้องเคยเห็นกันอยู่ประจำ นั่นแหละ ซึ่งใช้งานที่หลากหลาย ประกอบด้วยลักษณะการออกแบบที่ร่วมสมัย และก็มีสัดส่วนกะทัดรัด แล้วยังยังช่วยประหยัดไฟฟ้า แล้วยังสามารถทำนุบำรุงสะดวกสบาย เพราะเครื่องปรับอากาศลักษณะนี้ เหมาะสำหรับห้องสัดส่วนย่อมๆ รวมทั้งบ้าน หรือคอนโดทั่วๆ ไป ทำให้ตรงใจต่อความมุ่งหมายในการใช้งานได้แบบหลากหลายรูปแบบ
ถัดมาเป็นแอร์ตั้งขึ้นพื้น โดยเครื่องปรับอากาศประเภทนี้ถือเป็นแบบที่มีการกระจายความเย็นฉ่ำได้มาก สามารถสร้างความเย็นฉ่ำได้แบบรวดเร็ว และทนต่อการทำงาน รวมไปถึงทนทานต่อฝุ่นควันอีกด้วย โดยที่ประเภทของเครื่องปรับอากาศจะเป็นประเภทตั้งบนพื้น เหมาะสำหรับห้องที่มีพื้นที่ใหญ่ โรงงาน รวมถึงมีผู้คนหนาแน่น  โดยเครื่องปรับอากาศประเภทนี้จะทำงานใช้อึกทึก เลยส่งผลให้สิ้นเปลืองไฟฟ้ากว่าเครื่องปรับอากาศประเภทอื่นๆ
กลุ่มถัดไปเป็นกลุ่มแอร์ฝังฝ้าเพดาน โดยที่กลุ่มนี้จะคือเครื่องปรับอากาศ 4 ทิศทาง ตัวเครื่องเครื่องปรับอากาศ ท่อน้ำยา รวมถึงท่อน้ำเสีย สามารถติดภายในฝ้าเพดาน ช่วยให้สามารถเก็บทรงความสวยหรูของห้องได้เหมือนเดิม ลดข้อจำกัดในการติดตั้ง โดยที่เหมาะสมสำหรับห้องที่มุ่งเน้นในเรื่องความสวยหรู ทำให้ในบ้านเรียบร้อยตามเดิม  อย่างไรก็ตามแอร์ประเภทนี้มักจะมูลค่าโดยมากแพงมากกว่าแอร์ประเภทอื่นๆ
และแบบสุดท้ายคือแอร์เคลื่อนที่ ซึ่งเครื่องปรับอากาศแบบนี้จะไม่ค่อยยุ่งยากคล้ายกับประเภทที่แล้ว เพราะว่าเพียงแค่เสียบปลั๊ก ก็ใช้งานได้เลย โดยแอร์อย่างนี้ใช้งานได้เหมือนกันกับเครื่องปรับอากาศที่อยู่อาศัยธรรมดา แต่ไม่เหมือนแบบอื่นก็ตรงที่สามารถย้ายที่ได้ และก็ไม่จำเป็นต้องติดตั้งกับผนังด้วย เหมาะกับผู้ที่อาศัยหอ อพาร์ตเมนต์ คอนโดมิเนียม ทำนุบำรุงก็ง่ายมาก เหมือนกับแอร์ทั่วไปเลย
กลับมาที่หลักเกณฑ์การเลือกกันต่อ ถัดจากนั้นก็ต้องตัดสินใจขนาดแอร์ให้เข้ากับสัดส่วนห้อง เพราะว่าถ้าทราบสัดส่วนห้องเรียบร้อยแล้วนั้น ทำให้ไม่ยากกับการเลือกขนาดของเครื่องปรับอากาศและการคำนวณค่า BTU นั่นเอง เพื่อเหมาะสมกับการทำงานและช่วย
ลดการใช้ไฟฟ้า โดยหลายคนคงจะยังไม่เข้าใจว่า BTU หมายถึงอะไร โดยมันคือ ขนาดสร้างความเย็นของแอร์ โดยย่อมาจากคำว่า British Thermal Unit โดย 1 ตันความเย็น จะเท่ากับ 12000 BTU ต่อชั่วโมง ดังนั้นการซื้อ BTU จึงมีความจำเป็น ก็เพราะว่าจะเกี่ยวข้องกับ การประหยัดพลังรวมถึงอายุการใช้งานของเครื่องปรับอากาศนั่นเอง ถ้าหากเลือกซื้อแอร์ที่มี BTU มากเกินพอดี ก็ทำให้ทำงานของคอมแอร์ตัดบ่อย เนื่องจากมีการทำความเย็นได้อย่างรวดเร็ว จึงทำให้ศักยภาพภายในถดถอย รวมถึงยังมีผลกระทบให้มีความชื้นข้างในห้องมาก ทำให้ผู้อาศัยไม่สบาย หรือว่าป่วยได้ อีกทั้งยังส่งผลให้สิ้นเปลืองไฟฟ้าอีกด้วย หรือสมมติว่าซื้อแอร์ที่มี BTU น้อยเกินไปก็จะทำให้คอมแอร์ถูกใช้งานตลอดเวลารวมถึงมากจนเกินไป  เพราะอุณหภูมิความเย็นไม่ตรงตามที่ปรับหรือกำหนดไว้  ซึ่งจะส่งผลทำให้แอร์ทรุดโทรมได้ง่ายๆ รวมทั้งเปลืองไฟฟ้าอีกด้วย
                ถัดไปก็เป็นหลักไม่ยาก เลยที่ใครเห็น ก็น่าจะต้องช่วยให้เลือกซื้อแน่นอน ก็คือ การซื้อเครื่องปรับอากาศที่ได้รับฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 เพราะว่านั่นหมายถึง คุณภาพในการใช้พลังงานที่คุ้มที่สุด ก็จะช่วยประหยัดไฟฟ้าและประหยัดเงินได้นั้นเอง

Tags : แอร์,เครื่องปรับอากาศ,แอร์ ราคา