สวัสดี บุคคลทั่วไป

ซื้อเครื่องปรับอากาศเช่นใด เพื่อที่จะเซฟเงินในกระเป๋าที่สุด

  • 0 ตอบ
  • 232 อ่าน
เมื่อสภาพอากาศมันร้อน เลยก็ต้องหาอะไรเพื่อที่จะดับร้อนกันสักหน่อย คนชอบกิน ก็ค้นหาของกินรับประทานดับร้อนกันไป แต่ถ้าใครอยากให้บรรยากาศภายในบ้านไม่อบอ้าวอย่างนรก ก็คงจำเป็นต้องพึ่งพา "แอร์" หรือ "เครื่องปรับอากาศ" แล้วละ แต่ถ้าใช้งานแอร์ บางท่านก็ต้องกังวลใจในประเด็นของค่าใช้จ่ายค่าไฟที่มันจะตามมาภายหลัง แต่เราจะมีเกณฑ์การซื้อยังไง เพื่อจะได้ทั้งสินค้าดี แต่ก็ยังประหยัดด้วย ไปดูกันเลย
อันดับแรกเราจะควรจะคำนึงถึงประเภทของเครื่องปรับอากาศต้องให้พอดีกับพื้นที่กับการทำงาน โดยตอนนี้นั้นมีหลายหลากรูปแบบให้เลือกหา โดยแต่ละอย่างก็มีคุณลักษณะต่างกันออกไป โดยสมมติเลือกผิดนั้น ก็อาจจะส่งผลให้ก่อให้เกิดโทษกับแอร์ รวมถึงยังส่งผลให้สิ้นเปลืองพลังงานไปโดยใช่เหตุ โดยหลักๆ แล้วนั้น เครื่องปรับอากาศจะแยกออกเป็นหลากหลายลักษณะ ได้แก่ เครื่องปรับอากาศติดกำแพง, แอร์ตั้งพื้น, แอร์ติดฝ้าเพดาน รวมถึง เครื่องปรับอากาศเคลื่อนที่ โดยที่แต่ละลักษณะ มีลักษณะเป็นอย่างไรบ้าง ไปดูกันเลย
อย่างแรกก็คือแอร์ติดผนัง โดยที่แอร์ชนิดนี้ เป็นที่ใช้มากกันอยู่แล้ว หรือไม่ก็คงจะคุ้นเคยกันอยู่ประจำ นั่นแหละ เพราะว่าใช้งานที่หลายแบบ ประกอบด้วยลักษณะการออกแบบที่ทันสมัย รวมถึงก็มีขนาดกะทัดรัด อีกทั้งยังทำให้เซฟพลังงาน แล้วยังสามารถทำนุบำรุงไม่ยาก โดยเครื่องปรับอากาศแบบนี้ เหมาะกับห้องพื้นที่ย่อมๆ รวมทั้งที่พักอาศัย หรือคอนโดธรรมดา สามารถตรงใจกับความอยากกับการใช้งานได้อย่างหลากหลายแบบ
ถัดมาเป็นแอร์วางพื้น ซึ่งแอร์รุปแบบนี้คือประเภทที่มีการแผ่กระจายความเย็นได้ดี สามารถทำความเย็นฉ่ำได้แบบรวดเร็ว แล้วยังทนต่อการใช้งาน รวมไปถึงทนทานกับฝุ่นควันอีกด้วย เพราะว่าประเภทของแอร์จะเป็นแบบติดตั้งกับพื้น เหมาะสำหรับห้องที่มีพื้นที่กว้าง โรงงาน และมีประชากรคับคั่ง  ซึ่งแอร์แบบนี้จะทำงานใช้อึกทึก เลยส่งผลให้เปลืองไฟฟ้ากว่าเครื่องปรับอากาศประเภทอื่นๆ
ประเภทถัดไปคือลักษณะเครื่องปรับอากาศฝังฝ้าเพดาน ซึ่งประเภทนี้จะเป็นแอร์ 4 ทาง ตัวเครื่องแอร์ ท่อน้ำยา และท่อน้ำทิ้ง สามารถติดตั้งด้านในฝ้าเพดาน ทำให้สามารถเก็บรูปทรงความดูดีของห้องได้เหมือนเดิม ลดข้อจำกัดในการติด ซึ่งเหมาะสมสำหรับห้องที่เน้นในเรื่องความสวยหรู ช่วยให้ภายในบ้านประณีตอย่างเดิม  แต่ว่าเครื่องปรับอากาศลักษณะนี้จะมีราคาค่อนข้างจะแพงมากกว่าแอร์ลักษณะอื่นๆ
และแบบสุดท้ายคือเครื่องปรับอากาศเคลื่อนที่ โดยที่เครื่องปรับอากาศชนิดนี้จะไม่ยุ่งยากเหมือนกับชนิดที่แล้ว เพราะว่าแค่เสียบปลั๊ก ก็ใช้งานได้เลย โดยแอร์กลุ่มนี้ใช้งานได้แบบเดียวกันกับแอร์บ้านแบบปกติ แต่ว่าไม่เหมือนประเภทอื่นก็ตรงที่สามารถย้ายที่ได้ แล้วก็ไม่จำเป็นต้องติดเข้ากับบ้านด้วย เหมาะกับคนที่อยู่หอพัก อพาร์ตเมนต์ คอนโดมิเนียม ดูแลรักษาก็ง่ายมาก เหมือนกับแอร์ทั่วไปเลย
กลับมาที่เกณฑ์การตัดสินใจซื้อกันต่อ ถัดจากนั้นก็ควรจะเลือกสัดส่วนเครื่องปรับอากาศให้เหมาะกับพื้นที่ห้อง เพื่อที่ถ้ารู้สัดส่วนห้องแล้วนั้น ทำให้สะดวกกับการเลือกสรรขนาดของแอร์และการคิดค่า BTU นั่นเอง เพื่อเหมาะสมกับการใช้งานและทำให้
เซฟพลังงาน ซึ่งหลายคนอาจยังไม่รู้ว่า BTU หมายถึงอะไร โดยมันหมายถึง ขนาดสร้างความเย็นของเครื่องปรับอากาศ โดยย่อมาจากคำว่า British Thermal Unit โดย 1 ตันความเย็น จะเท่ากับ 12000 BTU ต่อชั่วโมง เพราะฉะนั้นการซื้อ BTU ย่อมมีความจำเป็น เพราะว่าจะเกี่ยวเนื่องกับ การประหยัดพลังงานรวมทั้งอายุการทำงานของแอร์นั่นเอง ซึ่งหากซื้อแอร์ที่มี BTU มากเกินไป ก็จะทำให้ทำงานของคอมเพรสเซอร์ตัดบ่อย เนื่องจากมีการทำความเย็นได้อย่างรวดเร็ว จึงทำให้ความสามารถภายในถดถอย รวมถึงยังมีผลให้ให้มีความชื้นข้างในห้องสูง ส่งผลให้ผู้อาศัยป่วย หรือป่วยได้ อีกทั้งยังส่งผลให้สิ้นเปลืองพลังงานอีกด้วย หรือหากเลือกเครื่องปรับอากาศที่มี BTU ต่ำเกินไปก็จะส่งผลต่อคอมแอร์ทำงานทุกเวลารวมทั้งหนักจนเกินพอดี  เพราะอุณหภูมิความเย็นไม่ตรงกับที่ตั้งหรือกำหนดไว้  โดยจะส่งผลเป็นเหตุให้แอร์พังได้ง่ายๆ รวมทั้งสิ้นเปลืองไฟฟ้าอีกเช่นกัน
                ต่อมาก็คือแนวทางไม่ยาก เกินที่ใครเห็น ก็ต้องทำให้ตัดสินใจตัดสินใจแน่นอน ก็คือ การเลือกซื้อแอร์ที่ได้ฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 เพราะว่านั่นหมายความว่า ประสิทธิภาพในการใช้ไฟฟ้าที่คุ้มที่สุด ซึ่งจะทำให้ประหยัดไฟฟ้าและประหยัดเงินได้นั้นเอง

Tags : แอร์,เครื่องปรับอากาศ,แอร์ ราคา