สวัสดี บุคคลทั่วไป

ประวัติ เครื่องดนตรีไทย :AO

  • 0 ตอบ
  • 260 อ่าน
ประวัติ เครื่องดนตรีไทย :AO
« เมื่อ: พฤศจิกายน 06, 2018, 08:05:47 AM »
อุปกรณ์สำหรับเล่นดนตรีไทยเกิดขึ้นจากชาติไทยเองแล้วก็การเลียนแบบชาติอื่นๆที่อยุ่สนิทสนมโดยเริ่มตั้งแต่โบราณกาลที่ไทยตั้งรกรากอยู่ในอาณาจักรฉ่องหวู่ดินแดนของจีนในตอนนี้ต้องการอ้างอิง ทำให้อุปกรณ์สำหรับเล่นดนตรีไทยรวมทั้งจีนมีการแลกเอาอย่างกัน นอกเหนือจากนี่ยังมีอุปกรณ์สำหรับเล่นดนตรีอีกหลากหลายประเภท ที่ชาติไทยประดิษฐ์ขึ้นใช้ก่อนจะมาเจอวัฒธรรมประเทศอินเดีย ซึ่งแพร่หลายอยู่ทางตอนใต้ของแหลมอินโดจีนต้องการอ้างอิง สำหรับชื่ออุปกรณ์สำหรับเล่นดนตรีเริ่มแรกของไทยจะเรียนตามคำโดดในภาษาไทย ดังเช่น เกราะ โกร่ง กรับ ฉิ่ง ฉาบ ขลุ่ย พิณเปี๊ยะ ซอ ฆ้องและก็กลอง ถัดมาได้มีการประดิษฐ์อุปกรณ์สำหรับเล่นดนตรีให้ปรับปรุงขึ้น แทงบอล โดยนำไม้ที่ทำเสมือนกรับหลายอันมาวางเรียงกันได้อุปกรณ์สำหรับเล่นดนตรีใหม่ เรียกว่าระนาดหรือนำฆ้องหลายๆใบมาทำเป็นวงเรียกว่า ฆ้องวง ฯลฯ

นอกจากนั้นยังมีการผสมกับวัฒนธรรมทางดนตรีของประเทศอินเดีย มอญ เขมร ในแหลมอินโดจีนที่ไทยได้ย้ายไปตั้งรกรากอยู่ ยกตัวอย่างเช่น พิณ สังข์ ปี่ไฉน บัณเฑาะว์ กระจับปี่ จะเข้ โทน(ทับ) ฯลฯ ถัดมาเมื่อมีความเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้านเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไทยได้นำเพลงรวมทั้งอุปกรณ์สำหรับเล่นดนตรีบางสิ่งของประเทศเพื่อนบ้านมาบรรเลงในวงดนตรีไทย ได้แก่ กลองแขกของชวา กลองมลายูของมลายู เปิงมางของมอญ และก็กลองยาวของไทยใหญ่ที่ประเทศพม่าประยุกต์ใช้ แล้วก็ขิม ล่อ และก็กลองจีน ซึ่งเป็นอุปกรณ์สำหรับเล่นดนตรีของจีน ฯลฯ ถัดมาไทยมีความเกี่ยวเนื่องชาวกับตะวันตกแล้วก็อเมริกา ก็ได้นำกลองฝรั่ง ดังเช่นกลองอเมริกัน รวมทั้งอุปกรณ์สำหรับเล่นดนตรีอื่นๆได้แก่ ไวโอลีน ออร์แกน มาใช้เล่นเพลงในวงดนตรีของไทย
จากเรื่องราวอุปกรณ์สำหรับเล่นดนตรีไทยดังที่ได้กล่าวมาแล้ว สามารถแบ่งประวัติศาสตร์ของอุปกรณ์สำหรับเล่นดนตรีไทยได้เป็น 4 ยุค ดังต่อไปนี้
ยุคจังหวัดสุโขทัย

คนไทยมีความสนุกกับการเล่นดนครีแล้วก็ร้องกันมากมายตามที่ปรากฏในหลักแผ่นจารึกบิดาขุนรามคำแหงหลักที่ 1 ว่า "ดบงคมกลอง ด้วยเสียงพาทย์ เสียงพิณ เสียงเลื้อน เสียงขับ ใครกันแน่จะมักเล่น เล่น คนไหนกันแน่จะมักหัว หัว คนใดจะมักเลื้อน เลื้อน" ซึ่งแลป่าดงถึงการบรรเลงเพลงอุปกรณ์สำหรับเล่นดนตรีชนิดตี เป่า ดีด แล้วก็สีเป็นกลอง ปี่ พิณ และก็อุปกรณ์สำหรับเล่นดนตรีทีมีสายไว้สีได้ ยิ่งไปกว่านี้ยังมีหลักฐานของล้านนาไทยที่มีศิลปวัฒนธรรมร่วมยุคกันในหลักแผ่นจารึกในวัดพระยืน จังหวัดลำพูน ที่จารึกไว้ว่า "ให้ถือกระทงข้างตอกดอกไม้ไต้เทียน ตีพาทย์ดังพิณฆ้องกลอง ปี่สรไนพิสเนญชัยทะเทียดกาหลแตรสังมาลย์กังสดาล มรทงค์ป่าเดือด เสียงเยี่ยมเสียงกังวาน ทั้งคนร้องโห่อื้อดาสรท้าทายนทั่งนครหริภุญชัย แล" ซึ่งแสดงถึงอุปกรณ์สำหรับเล่นดนตรีเล่นเพลงในวงดนตรี และก็พลเมืองเอามาเล่นเพื่อความสนุกสนุกสนานกัน โดยเหตุนั้นก็เลยสามารถเอ่ยถึงอุปกรณ์สำหรับเล่นดนตรีไทยในยุคจังหวัดสุโขทัยได้จากวงดนตรีไทยในยุคนั้น ดังเช่นว่า วงแตรสังข์ ที่ใช้ร้องเพลงในพิธีต่างๆมีอุปกรณ์สำหรับเล่นดนตรีแตรลำโพง แตรงอน ปี่ไฉนแก้ว กลองชนะ บัณเฑาะว์ แล้วก็มโหระทึก วงปี่พาทย์เครื่องห้ามี ปี่ใน ฆ้องวง กลองสองหน้า กลองทัด และก็ฉิ่ง นอกเหนือจากนั้นยังมีอุปกรณ์สำหรับเล่นดนตรีดังเช่นว่า พิณ และก็ซอสามสาย อยู่ในยุคนั้นอีกด้วย
ยุคอยุธยา

เป็นตอนๆที่ชาติบ้านเมืองมีสงครามอยู่ตลอดระยะเวลา ก็เลยทำให้ดนตรีไทยไม่รุ่งเรืองเท่าไรนัก ยังคงมีอุปกรณ์สำหรับเล่นดนตรีในวงพิณพาทย์ เครื่องห้าเหมือนเดิม จนถึงมาเพิ่มระนาดเอกตอนหลังในช่วงปลายยุคอยุธยา ส่วนวงดนตรีที่เกิดขึ้นในยุคนั้น อย่างเช่น วงมโหรี ที่ร้องเพลงโดยสตรี เพื่อเห่กล่อมมอบให้แก่กษัตริย์ มีอุปกรณ์สำหรับเล่นดนตรี กระจับปี่ ซอสามสาย โทน(ทับ) กรับ รำมะนา ขลุ่ยแล้วก็ฉิ่ง แม้กระนั้นถัดมาได้นำจะเข้ซึ่งเป็นอุปกรณ์สำหรับเล่นดนตรีของมอญมาผสมแทนกระจับปี่ เพื่อทำนองได้ประณีตบรรจงและก็เพราะกว่า และก็วงเครื่องสาย มีอุปกรณ์สำหรับเล่นดนตรี ซอด้วง ซออู้ จะเข้ ขลุ่ย โทน(ทับ) รวมทั้งฉิ่ง
ยุคจังหวัดธนบุรี

มีวงดนตรี 3 ชนิด เหมือนกันกับยุคอยุธยาหมายถึงวงพิณพาทย์ วงมโหรี และก็วงเครื่องสาย แต่ว่ามีอุปกรณ์สำหรับเล่นดนตรีของชาติต่างๆเข้ามาในประเทศไทยหลากหลายประเภท ดังปรากฏในกำหนดการของในหลวงในยุคนั้นว่า “ทรงพระได้โปรดโปรดเกล้าฯ ให้ปี่พาทย์ไทย ปี่พาทย์มอญ วงมโหรีไทย ฝรั่ง วงมโหรีญวน เขมร หมุนเวียนกันสมโภช 2 เดือนกับ 12 วัน” ในงานฉลองพระแก้วมรกตฯลฯ
เพราะในสมัยปัจจุบันเป็นตอนๆช่วงเวลาอันสั้นเพียงแต่พนันบอล 15 ปี รวมทั้งประกอบกับเป็นยุคที่การก่อร่างสร้างเมือง รวมทั้งการปกป้องประเทศเสียส่วนใหญ่ วงดนตรีไทยในสมัยปัจจุบันก็เลยไม่ปรากฏหลักฐานไว้ว่า ได้มีการปรับปรุงเปลี่ยนขึ้น คาดคะเนว่า ยังคงเป็นลักษณะและก็ลักษณะของ ดนตรีไทย ในยุคกรุงศรีอยุธยานั่นเอง