สวัสดี บุคคลทั่วไป

ซื้อแอร์อย่างไร เพื่อที่จะเซฟเงินทองในกระเป๋ามากที่สุด

  • 0 ตอบ
  • 204 อ่าน
*

ออฟไลน์ mmhaloha

  • *****
  • 4698
    • ดูรายละเอียด
ตอนอากาศมันร้อน มันก็คงจะต้องหาวิธีเพื่อที่จะดับอบอ้าวกันซะหน่อย คนชอบกิน ก็ค้นหาของกินทานดับร้อนกันไป แต่ว่าหากว่าใครต้องการบรรยากาศภายในที่พักไม่ร้อนอย่างนรก ก็จำเป็นต้องอาศัย "แอร์" หรือว่า "เครื่องปรับอากาศ" แล้วละ หากใช้งานเครื่องปรับอากาศ บางคนก็คงจะกลุ้มใจส่วนประเด็นของค่าใช้จ่ายค่าไฟที่มันจะตามมาต่อจากนั้น แล้วเราจะมีเกณฑ์การซื้ออย่างไร เพื่อจะได้ทั้งของดี แต่ก็ยังประหยัดด้วย ไปดูกันเลย
อย่างแรกทุกคนจะต้องนึกถึงประเภทของเครื่องปรับอากาศต้องให้เหมาะสมกับสถานที่ในการทำงาน ซึ่งปัจจุบันนี้นั้นมีหลายแบบให้เลือกสรร โดยแต่ละแบบก็มีคุณลักษณะต่างกันไป ถ้าสมมติว่าตัดสินใจผิดนั้น ทำให้อาจจะเป็นเหตุให้ก่อให้เกิดผลเสียกับแอร์ รวมถึงยังทำให้สิ้นเปลืองพลังงานไปอีก หลักๆ แล้ว แอร์จะแยกออกเป็นหลายลักษณะ ได้แก่ เครื่องปรับอากาศติดกำแพง, แอร์ตั้งพื้น, แอร์ฝังเพดาน รวมทั้ง เครื่องปรับอากาศเคลื่อนที่ โดยแต่ละชนิด มีรูปลักษณ์เป็นอย่างไรบ้าง ไปพิจารณากันก่อนดีกว่า
ประเภทแรกก็คือแอร์ติดผนัง ซึ่งเครื่องปรับอากาศประเภทนี้ เป็นที่ใช้มากกันอยู่แล้ว หรือว่าต้องเคยเห็นกันอยู่เป็นประจำ นั่นแหละ ซึ่งการทำงานที่หลากหลาย ประกอบด้วยรูปแบบการดีไซน์ที่ทันสมัย และก็มีขนาดกะทัดรัด อีกทั้งยังทำให้ลดการใช้พลังงาน แล้วยังสามารถทำนุบำรุงสะดวกสบาย เพราะเครื่องปรับอากาศประเภทนี้ เหมาะสำหรับห้องสัดส่วนย่อม รวมทั้งที่พักอาศัย หรือว่าคอนโดทั่วๆ ไป ช่วยให้ตรงใจต่อความต้องการกับการทำงานได้อย่างหลายรูปแบบ
ต่อมาเป็นแอร์ตั้งขึ้นพื้น โดยที่เครื่องปรับอากาศลักษณะนี้เป็นแบบที่มีการกระจายความเย็นได้สูง สามารถสร้างความเย็นได้อย่างรวดเร็ว รวมทั้งทนในการใช้งาน รวมถึงทนทานกับมลพิษอีกด้วย เพราะว่าประเภทของแอร์จะเป็นประเภทติดตั้งบนพื้น เหมาะกับห้องที่มีสัดส่วนกว้าง โรงงาน หรือมีประชากรหนาแน่น  ซึ่งแอร์อย่างนี้จะทำงานใช้อึกทึก จึงทำให้เปลืองไฟฟ้ากว่าแอร์ประเภทอื่นๆ
ประเภทถัดไปเป็นลักษณะแอร์ติดฝ้าเพดาน ซึ่งประเภทนี้จะคือแอร์ 4 ทิศทาง เครื่องแอร์ ท่อน้ำยา รวมถึงท่อน้ำทิ้ง สามารถติดตั้งด้านในฝ้าเพดาน ทำให้สามารถเก็บรูปทรงความเรียบร้อยของห้องได้เหมือนเดิม ลดขีดจำกัดในการติด โดยเหมาะกับห้องที่มุ่งเน้นในเรื่องความเรียบร้อย ทำให้ในบ้านเรียบร้อยอย่างเดิม  แต่แอร์ประเภทนี้มักมีสนนราคามักแพงมากกว่าแอร์อย่างอื่นๆ
ส่วนอย่างท้ายที่สุดก็คือแอร์เคลื่อนที่ ซึ่งเครื่องปรับอากาศลักษณะนี้จะไม่ค่อยยุ่งยากคล้ายกับแบบที่แล้ว เพราะเพียงเสียบปลั๊ก ก็ใช้งานได้เลย เพราะว่าเครื่องปรับอากาศประเภทนี้ใช้ได้เหมือนกันกับเครื่องปรับอากาศบ้านธรรมดา แต่ไม่เหมือนอันอื่นก็ตรงที่สามารถเคลื่อนย้ายได้ รวมถึงก็ไม่ต้องติดตั้งเข้ากับตัวบ้านด้วย เหมาะสมกับคนที่อาศัยหอ อพาร์ตเมนต์ คอนโดมิเนียม ดูแลรักษาก็สะดวกมาก เหมือนกับแอร์ทั่วๆ ไปเลย
ย้อนกลับมาที่หลักเกณฑ์การตัดสินใจซื้อกันต่อ ต่อมาก็จำเป็นต้องซื้อขนาดเครื่องปรับอากาศให้เข้ากันกับสัดส่วนห้อง เพราะถ้ารู้สัดส่วนห้องเรียบร้อยแล้วนั้น ทำให้ไม่ยากกับการตัดสินใจซื้อขนาดของเครื่องปรับอากาศและการคาดคะเนค่า BTU นั่นเอง เพื่อที่จะเหมาะสมกับการทำงานและช่วย
เซฟพลังงาน เพราะหลายคนคงยังไม่รู้ว่า BTU คืออะไร โดยมันหมายถึง ขนาดทำความเย็นของแอร์ โดยย่อมาจากคำว่า British Thermal Unit โดยที่ 1 ตันความเย็น จะเท่ากับ 12000 BTU ต่อชั่วโมง เพราะฉะนั้นการเลือก BTU จึงมีความจำเป็น ก็เพราะว่าจะเกี่ยวข้องกับ การประหยัดพลังกับอายุการทำงานของเครื่องปรับอากาศนั่นเอง หากเลือกเครื่องปรับอากาศที่มี BTU สูงเกินไป ก็ทำให้ทำงานของคอมเพรสเซอร์ตัดบ่อย เนื่องจากมีการทำความเย็นได้อย่างรวดเร็ว จะทำให้ความสามารถข้างในลดลง รวมถึงยังมีผลกระทบให้มีความชื้นข้างในห้องมาก ส่งผลให้ผู้อาศัยไม่สบาย หรือว่าเจ็บป่วยได้ อีกทั้งยังส่งผลให้เปลืองไฟฟ้าอีกด้วย หรือว่าสมมติว่าซื้อเครื่องปรับอากาศที่มี BTU น้อยเกินไปก็จะทำให้คอมแอร์ถูกใช้งานทุกเวลาและมากจนเกินไป  เพราะอุณหภูมิความเย็นไม่ตรงกับที่ตั้งหรือกำหนดไว้  โดยจะทำให้ทำให้แอร์พังได้ง่ายๆ และสิ้นเปลืองพลังงานอีกเช่นกัน
                ถัดมาก็เป็นหลักการไม่ยาก เลยที่ไม่ว่าใคร ก็ต้องช่วยให้เลือกเลือกซื้อแน่นอน นั่นก็คือ การซื้อเครื่องปรับอากาศที่ได้สลากประหยัดไฟเบอร์ 5 ก็เพราะว่านั่นหมายความว่า คุณภาพในการใช้ไฟฟ้าที่คุ้มค่าที่สุด โดยจะช่วยประหยัดไฟฟ้าและประหยัดเงินได้นั้นเอง

Tags : แอร์,เครื่องปรับอากาศ,แอร์ ราคา