ถ้าหากคนใดที่มิได้อยู่ในสายเกม อาจจะไม่คุ้นชื่อกับบริษัท Nintendo อย่างแน่นอน เพราะบริษัทนี้ นับว่าเป็นแบรนด์ที่ขึ้นชื่อในเรื่องของอุปกรณ์เล่นเกมต่างๆ แถมยังนับว่าเป็นแบรนด์แรกที่กำเนิดวิดีโอเกมขึ้นมาอีกด้วย แต่ก่อนที่จะก้าวขึ้นมาจนถึงทุกวันนี้นั้น เรียกได้ว่าบริษัทแห่งนี้มีการเดินทางอย่างช้านานและผ่านเรื่องราวมาอย่างโชกโชนทีเดียว ถือเป็นอีกหนึ่งบริษัทที่คู่ควรแก่การศึกษาและสรรเสริญสำหรับเพื่อการคิดค้นธุรกิจอย่างมาก โดยบริษัทในโลกของเกมแห่งนี้จะมีเรื่องมีราวอะไรให้เราได้ศึกษาบ้างนั้น ตามไปดูกันจ้ะ

Nintendo กับอุปสรรคกว่าจะก้าวเข้าสู่ตำนานเครื่องเกมยอดฮิตที่ขายดีที่สุด



หลายๆคนที่ไม่ได้รู้ประวัติของบริษัทนี้มาก่อน บางทีอาจไม่ทราบว่า ธุรกิจเริ่มแรกของ Nintendo นั้นมาจากการสร้างการ์ด ซึ่งการ์ดในที่นี้นั้นหมายความว่าการเล่นเกมการ์ดทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นไพ่หรือพวกการ์ดการ์ตูนต่างๆ แต่ว่าในช่วงเวลาที่บริษัทกำลังบรรลุเป้าหมายภายในญี่ปุ่นนั้น หัวหน้าของบริษัทก็ยังได้มีหูตากว้างไกลสำหรับในการขยายผลิตภัณฑ์เพิ่มอีก เหตุเพราะเห็นว่า ไลน์การผลิตการ์ดเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าเพียงแต่บางกลุ่มภายในในญี่ปุ่นนั้น ถือได้ว่าเป็นการตลาดที่แคบและก็มีข้อจำกัดมากเกินไป ซึ่งนับว่าเป็นความนึกคิดที่ไปถูกทางอย่างมากทีเดียว เมื่อบริษัท Nintendo ตัดสินใจรวมธุรกิจกับบริษัทดีสนีย์ของประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งความร่วมแรงร่วมใจคราวนี้ ทำให้แบรนด์ได้ผลิตการ์ดลายดีสนีย์ออกมาหลายคอลเลคชั่น และได้รับการตอบรับจากลูกค้าอย่างมากมาย แถมยังสามารถตีตลาดนอกประเทศญี่ปุ่นได้อีกด้วย
ซึ่งจากยอดจำหน่ายการ์ดที่ถล่มทลายนี้ ทำให้ทุนของบริษัท นินเทนโดเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว ซึ่งทำให้เหล่าผู้บริหารได้เริ่มขยายไลน์ธุรกิจออกไปหลายประเภท อย่างไรก็แล้วแต่ในยุคนั้นบริษัทค่อนข้างจะเดินผิดทางไปสักนิดสักหน่อย เพราะว่าหลายธุรกิจที่เริ่มทำในตอนนั้นออกจะดูแปลกเกินไป และไม่บรรลุผลสำเร็จซักเท่าไหร่ ทำให้บริษัทกลับมามีฐานะด้านการเงินสั่นคลอน และทำท่าจะไม่ได้ไปต่อ จวบจนกระทั่งมาถึงจุดเปลี่ยนของบริษัทเกม Nintendo ที่ทำให้แบรนด์กลับมายิ่งใหญ่ได้จนถึงทุกวันนี้
สิ่งที่ทำให้แบรนด์นินเทนโดนี้กลับมาประสบผลสำเร็จได้นั้น ก็คือการก้าวเข้าสู่ธุรกิจเกมแบบดิจิตอล โดยในยุคนั้น Nintendo นับว่าเป็นบริษัทแรกๆที่หันมาให้ความสนใจกับวิดีโอเกม โดยยังนับว่าเป็นเจ้าแรกที่เป็นผู้จำหนาย Magnavox Odyssey ในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งนี่นับว่าเป็นเครื่องเล่นวิดีโอเกมเครื่องแรงของโลก แล้วก็ถือเป็นจุดเปลี่ยนแปลงของการเล่นเกมที่สั่นสะเทือนแวดวงเกมแบบทั้งโลกเลยทีเดียว
ซึ่งหลังจากกลับมาประสบผลสำเร็จในวงการเกมแบบดิจิตอบแล้ว แบรนด์นี้ก็หันมาให้ความใส่ใจกับการพัฒนาสินค้าด้านการเล่นเกมอย่างเอาจริงเอาจัง ก็เลยทำให้มีนวัตกรรมใหม่ๆของการเล่นเกม Nintendo ปลดปล่อยออกมาทำการตลาดเยอะมากในหลายยุคสมัย โดยหนึ่งในเกมที่ประสบความสำเร็จของแบรนด์นี้ก็คือ Donkey Kong ซึ่งได้กลายเป็นต้นแบบของเครื่องเล่นเกมหลายๆรุ่นในยุคต่อมา ก่อนบริษัทจะมีการพัฒนาเทคโนโลยีเพิ่มขึ้นไปอีกกระทั่งบริษัทคู่แข่งขันตามกันไม่ทัน
โดยระเบิดลูกใหญ่อีกลูกที่แบรนด์นินเทนโดนี้ได้ทิ้งใส่วงการเกมของโลกนั้น ก็จะต้องยกให้เครื่องวีดีโอเกมอย่าง Famicom ที่ถือเป็นเครื่องเล่นเกมรุ่นแรกที่บริษัทผลิตตัวเครื่องเอง แต่ความสำเร็จของเกมรุ่นนี้นั้นได้หยุดชะงักลง หลังจากลูกค้ามีการร้องเรียนเกี่ยวกับเครื่องเล่นว่ามีการติดค้างระหว่างเล่นกันจำนวนมาก ซึ่งได้ส่งผลต่อยอดขายของบริษัท

 

ทั้งนี้วิกฤติของ Nintendo ได้เกิดขึ้นอีกครั้ง เนื่องจากปัญหายอดจำหน่ายของบริษัทนั้นไม่ได้มาจากประสิทธิภาพของเครื่องเล่นเกมที่ไม่สมบูรณ์เพียงอย่างเดียว แต่เป็นเพราะเกิดวิกฤตการอิ่มตัวของตลาดเกมในประเทศญี่ปุ่นขึ้นอีกด้วย โดยส่วนหนึ่งนั้น เกิดมาจากการที่เกมคอมพิวเตอร์เริ่มเข้ามาตีตลาดรวมทั้งฉกชิงส่วนแบ่งของตลาดเกมไปได้เป็นจำนวนมาก
 

แน่นอนว่าบริษัทที่ผ่านการล้มลุกคลุกคลานมาอย่างโชคโชนนั้น ย่อมไม่ยอมแพ้วิกฤติเพียงเท่านี้อย่างไม่ต้องสงสัย เนื่องจาก Nintendo ได้แย่งชิงส่วนแบ่งตลาดกลับมาได้ด้วยการบุกตลาดเครื่องเล่นคอนโซลแล้วก็แบบพกพา ซึ่งได้รับความนิยมจากเหล่าคอเกมอย่างยิ่ง ทำให้บริษัทก้าวกลับมาเป็นอันดับหนึ่งในวงการเกมได้อย่างสมศักดิ์ศรี ซึ่งงานนี้จำเป็นต้องยกนิ้วให้เหล่าผู้บริหารและก็คนคิดค้นของใหม่ของแบรนด์ที่ไม่เคยยอมแพ้ และยังคงคิดค้นเทคโนโลยีใหม่ๆเพื่อครองอันดับที่หนึ่งของตลาดเกมต่อไป