สวัสดี บุคคลทั่วไป

เลือกซื้อแอร์เช่นใด เพื่อให้เซฟเงินในกระเป๋าที่สุด

  • 0 ตอบ
  • 210 อ่าน
*

ออฟไลน์ mmhaloha

  • *****
  • 4698
    • ดูรายละเอียด
เมื่อสภาพอากาศมันร้อน เลยก็ต้องค้นหาอะไรเพื่อมาหยุดอบอ้าวกันนิดนึง คนชอบรับประทาน ก็หาของกินกินคลายร้อนกันไป แต่หากใครต้องการอากาศภายในที่พักอาศัยไม่อบอ้าวเหมือนกับนรก ก็คงต้องพึ่งพา "แอร์" หรือเรียกว่า "เครื่องปรับอากาศ" นั่นเอง แต่ถ้าใช้เครื่องปรับอากาศ บางท่านก็ต้องไม่สบายใจด้านประเด็นของค่าใช้จ่ายค่าไฟฟ้าที่มันจะตามมาภายหลัง แล้วทุกคนจะมีหลักเกณฑ์การตัดสินใจซื้ออย่างไร ให้ได้ทั้งสินค้าคุณภาพ แล้วก็ยังประหยัดด้วย ไปดูกันเลย
อันดับแรกเราจะต้องคำนึงถึงลักษณะของแอร์ควรจะให้พอดีกับสถานที่ในการทำงาน ซึ่งตอนนี้นั้นมีหลายหลากแบบให้เลือกหา เพราะแต่ละรูปแบบก็มีคุณสมบัติไม่เหมือนกันออกไป ซึ่งสมมติเลือกผิดนั้น ทำให้อาจจะทำให้ก่อให้เกิดผลเสียต่อเครื่องปรับอากาศ และยังส่งผลให้เปลืองพลังงานไปโดยใช่เหตุ หลักๆ แล้วนั้น แอร์จะแบ่งเป็นหลายประเภท อย่างเช่น เครื่องปรับอากาศติดกำแพง, แอร์ตั้งพื้น, เครื่องปรับอากาศฝังเพดาน และ แอร์เคลื่อนที่ โดยที่แต่ละลักษณะ มีรูปลักษณ์เป็นอย่างไรบ้าง ไปดูกันก่อนดีกว่า
อันแรกเป็นเครื่องปรับอากาศติดผนัง ซึ่งแอร์แบบนี้ เป็นที่นิยมกันอยู่แล้ว หรือน่าจะต้องคุ้นชินกันอยู่เป็นประจำ นั่นแหละ ซึ่งใช้งานที่หลากหลาย มีรูปแบบการออกแบบที่ทันสมัย พร้อมด้วยก็มีสัดส่วนกะทัดรัด แล้วยังยังช่วยลดการใช้ไฟฟ้า รวมทั้งสามารถรักษาสะดวกสบาย เพราะแอร์ประเภทนี้ เหมาะกับห้องขนาดไม่ใหญ่มาก หรือบ้าน หรือคอนโดทั่วๆ ไป อาจจะตรงตามกับความอยากของการทำงานได้อย่างหลากหลายรูปแบบ
ต่อมาคือเครื่องปรับอากาศตั้งพื้น โดยแอร์ลักษณะนี้คือประเภทที่มีการแผ่กระจายความเย็นได้มาก สามารถทำความเย็นฉ่ำได้แบบรวดเร็ว และทนทานต่อการใช้งาน รวมไปถึงทนกับมลพิษอีกด้วย เพราะว่าประเภทของแอร์จะเป็นประเภทตั้งบนพื้น เหมาะกับห้องที่มีขนาดใหญ่ โรงงาน และมีผู้คนคับคั่ง  โดยเครื่องปรับอากาศประเภทนี้จะทำงานใช้อึกทึก ก็เลยทำให้เปลืองไฟฟ้ากว่าเครื่องปรับอากาศประเภทอื่นๆ
อย่างต่อมาเป็นลักษณะแอร์ติดฝ้าเพดาน โดยแบบนี้จะคือแอร์ 4 ทิศทาง ตัวเครื่องเครื่องปรับอากาศ ท่อน้ำยา และท่อน้ำเสีย สามารถติดข้างในฝ้าเพดาน ทำให้สามารถคงทรงความดูดีของห้องได้ดังเดิม ลดข้อจำกัดในการติด ซึ่งเหมาะสำหรับห้องที่ต้องการในเรื่องความเป็นระเบียบ ช่วยให้ภายในบ้านประณีตตามเดิม  อย่างไรก็ตามเครื่องปรับอากาศประเภทนี้จะมีราคามักจะสูงมากกว่าเครื่องปรับอากาศแบบอื่นๆ
และชนิดสุดท้ายก็คือเครื่องปรับอากาศเคลื่อนที่ โดยเครื่องปรับอากาศแบบนี้จะไม่ซับซ้อนคล้ายกับประเภทที่แล้ว เพราะว่าเพียงเสียบปลั๊ก ก็ใช้งานได้เลย โดยแอร์แบบนี้ใช้ได้เหมือนกันกับแอร์บ้านทั่วไป แต่ไม่เหมือนใครก็ตรงที่สามารถขนย้ายได้ และก็ไม่จำเป็นต้องติดตั้งกับบ้านด้วย เหมาะกับผู้ที่อาศัยหอ อพาร์ตเมนต์ คอนโดมิเนียม ทำนุบำรุงก็ง่ายดาย เหมือนเครื่องปรับอากาศแบบปกติเลย
ย้อนกลับมาที่เกณฑ์การเลือกกันต่อ ถัดจากนั้นก็ต้องซื้อสัดส่วนแอร์ให้เข้ากับพื้นที่ห้อง เพราะเมื่อทราบสัดส่วนห้องเรียบร้อยแล้วนั้น ก็จะสะดวกกับการเลือกซื้อขนาดของแอร์และการคาดคะเนค่า BTU นั่นเอง เพื่อให้เหมาะสมกับการทำงานและช่วย
ลดการใช้พลังงาน เพราะว่าหลายคนอาจยังไม่ทราบว่า BTU คืออะไร โดยมันคือ ขนาดทำความเย็นของเครื่องปรับอากาศ โดยย่อมาจากคำว่า British Thermal Unit โดยที่ 1 ตันความเย็น จะเท่ากับ 12000 BTU ต่อชั่วโมง ดังนั้นการเลือก BTU จึงมีความสำคัญ ก็เพราะว่าจะเกี่ยวข้องกับ การประหยัดพลังและอายุการใช้งานของแอร์นั่นเอง หากเลือกเครื่องปรับอากาศที่มี BTU มากเกินพอดี ก็จะทำให้ใช้งานของคอมเพรสเซอร์ตัดบ่อย เนื่องจากมีการทำความเย็นได้อย่างรวดเร็ว จะทำให้ประสิทธิภาพด้านในน้อยลง และยังส่งผลให้มีความชื้นในห้องสูง อาจทำให้ผู้อาศัยไม่สบาย หรือไม่ก็เจ็บป่วยได้ อีกทั้งยังส่งผลให้เปลืองพลังงานอีกด้วย หรือไม่ก็หากซื้อแอร์ที่มี BTU น้อยเกินไปก็จะส่งผลให้คอมเพรสเซอร์ทำงานทุกเวลาและมากจนเกินพอดี  เพราะว่าอุณหภูมิความเย็นไม่ตรงกับที่ปรับหรือกำหนดไว้  ก็จะมีผลให้เป็นเหตุให้แอร์พังได้ง่ายๆ รวมทั้งสิ้นเปลืองพลังงานอีกด้วย
                ถัดมาจะเป็นหลักการไม่ยาก เลยที่ไม่ว่าใคร ก็ต้องช่วยให้ตัดสินใจตัดสินใจแน่นอน คือ การเลือกเครื่องปรับอากาศที่ได้ฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 เพราะนั่นหมายถึง คุณภาพในการใช้งานพลังงานที่คุ้มที่สุด ก็จะช่วยประหยัดพลังงานและประหยัดรายจ่ายได้นั้นเอง

Tags : แอร์,เครื่องปรับอากาศ,แอร์ ราคา