สวัสดี บุคคลทั่วไป

ซื้อแอร์อย่างไร เพื่อให้เซฟเงินทองในกระเป๋ามากที่สุด

  • 0 ตอบ
  • 246 อ่าน
เมื่ออากาศมันอบอ้าว เลยก็คงจะต้องค้นหาอะไรเพื่อมาหยุดอบอ้าวกันซะหน่อย ใครชอบบริโภค ก็ค้นหาของกินทานดับร้อนกันไป แต่ว่าถ้าหากผู้ใดต้องการอากาศภายในที่พักอาศัยไม่อบอ้าวอย่างนรก ก็คงจำเป็นต้องพึ่ง "แอร์" หรือเรียกว่า "เครื่องปรับอากาศ" นั่นเอง แต่หากใช้แอร์ บางท่านก็ต้องกังวลในประเด็นของรายจ่ายค่าไฟฟ้าที่มันจะไล่ตามมาหลังจากนั้น แต่ทุกคนจะมีเกณฑ์การตัดสินใจซื้ออย่างใด ให้ได้ทั้งของดี แล้วก็ยังประหยัดด้วย ไปดูกันเลย
อันดับแรกเราจะจำเป็นต้องคำนึงถึงลักษณะของแอร์ควรจะให้พอดีกับที่ตั้งกับการทำงาน ซึ่งปัจจุบันนั้นมีหลายหลากรูปแบบให้เลือกสรร เพราะว่าแต่ละแบบก็มีสเปคแตกต่างกันไป หากสมมติตัดสินใจผิดนั้น ก็สามารถเป็นเหตุให้เกิดผลเสียกับเครื่องปรับอากาศ รวมถึงยังส่งผลให้เสียพลังงานไปโดยใช่เหตุ โดยหลักๆ แล้วนั้น เครื่องปรับอากาศจะแบ่งออกเป็นหลากหลายลักษณะ ตัวอย่างเช่น แอร์ติดผนัง, แอร์ตั้งพื้น, เครื่องปรับอากาศติดฝ้าเพดาน รวมถึง แอร์เคลื่อนที่ โดยที่แต่ละลักษณะ มีรูปลักษณ์แบบใดบ้าง ไปดูกันก่อนดีกว่า
อย่างแรกก็คือแอร์ติดกำแพง โดยเครื่องปรับอากาศลักษณะนี้ เป็นที่นิยมกันอยู่แล้ว หรือไม่ก็น่าจะต้องคุ้นชินกันอยู่เสมอๆ นั่นแหละ เพราะว่าการทำงานที่หลากหลาย และด้วยรูปแบบการออกแบบที่ร่วมสมัย และก็มีขนาดพอดี อีกทั้งยังช่วยเซฟพลังงาน รวมถึงสามารถดูแลรักษาง่ายๆ เพราะเครื่องปรับอากาศประเภทนี้ เหมาะสำหรับห้องพื้นที่ไม่ใหญ่มาก รวมทั้งที่พักอาศัย หรือว่าคอนโดทั่วไป ช่วยให้ตรงตามกับความมุ่งหมายของการใช้งานได้อย่างหลายแบบ
ต่อมาเป็นแอร์ตั้งพื้น โดยที่เครื่องปรับอากาศประเภทนี้เป็นแบบที่มีการแผ่กระจายความเย็นฉ่ำได้มาก สามารถทำความเย็นได้อย่างรวดเร็ว แล้วยังทนในการทำงาน รวมไปถึงทนทานกับฝุ่นควันอีกด้วย โดยที่รูปร่างของแอร์จะเป็นรูปแบบตั้งกับพื้น เหมาะกับห้องที่มีสัดส่วนกว้าง โรงงาน รวมทั้งมีประชากรคับคั่ง  ซึ่งเครื่องปรับอากาศแบบนี้จะทำงานใช้เสียงดัง เลยทำให้เปลืองพลังงานมากกว่าแอร์อย่างอื่นๆ
แบบต่อมาเป็นแบบแอร์ติดฝ้าเพดาน โดยกลุ่มนี้จะเป็นแอร์ 4 ทาง ตัวเครื่องแอร์ ท่อน้ำยา รวมถึงท่อน้ำเสีย สามารถติดตั้งภายในฝ้าเพดาน ทำให้สามารถเก็บรูปทรงความประณีตของห้องได้อย่างเดิม ตัดทอนขีดจำกัดในการติด โดยที่เหมาะสมสำหรับห้องที่จำเป็นในเรื่องความเป็นระเบียบ ทำให้ภายในบ้านสวยงามเหมือนเดิม  แต่แอร์ลักษณะนี้มักมีสนนราคาโดยมากสูงมากกว่าแอร์ลักษณะอื่นๆ
ส่วนแบบท้ายที่สุดคือแอร์เคลื่อนที่ ซึ่งแอร์อย่างนี้จะไม่ยุ่งยากคล้ายกับชนิดก่อนหน้า ก็เพราะว่าแค่เพียงเสียบปลั๊ก ก็ใช้งานได้เลย เพราะว่าแอร์ลักษณะนี้ใช้งานได้อย่างเดียวกันกับแอร์บ้านแบบปกติ แต่ว่าไม่เหมือนใครก็ตรงที่สามารถย้ายที่ได้ รวมถึงก็ไม่ต้องติดตั้งเข้ากับตัวบ้านด้วย เหมาะกับผู้ที่อาศัยหอพัก อพาร์ตเมนต์ คอนโดมิเนียม ทำนุบำรุงก็สะดวกมาก เหมือนแอร์ธรรมดาเลย
กลับมาที่เกณฑ์การเลือกกันต่อ ถัดมาก็จำเป็นต้องตัดสินใจขนาดเครื่องปรับอากาศให้เหมาะสมสัดส่วนห้อง เพราะว่าเมื่อรู้สัดส่วนห้องเรียบร้อยแล้วนั้น ทำให้สะดวกกับการซื้อขนาดของเครื่องปรับอากาศและการคำนวณค่า BTU นั่นเอง เพื่อเหมาะกับการใช้งานและทำให้
เซฟพลังงาน เพราะว่าหลายคนคงยังไม่เข้าใจว่า BTU คืออะไร โดยมันหมายถึง ขนาดทำความเย็นของเครื่องปรับอากาศ โดยย่อมาจากคำว่า British Thermal Unit โดย 1 ตันความเย็น จะเท่ากับ 12000 BTU ต่อชั่วโมง ฉะนั้นการซื้อ BTU จึงมีความจำเป็น เพราะจะเกี่ยวเนื่องกับ การประหยัดพลังงานรวมทั้งอายุการทำงานของเครื่องปรับอากาศนั่นเอง หากซื้อแอร์ที่มี BTU มากเกินไป ก็ทำให้ทำงานของคอมเพรสเซอร์ตัดบ่อย เนื่องจากมีการทำความเย็นได้อย่างรวดเร็ว จึงทำให้ศักยภาพด้านในถดถอย พร้อมกับยังมีผลให้ให้มีความชื้นภายในห้องสูง ทำให้ผู้อาศัยป่วย หรือป่วยได้ แล้วยังทำให้เปลืองพลังงานอีกด้วย หรือไม่ก็สมมติว่าเลือกแอร์ที่มี BTU น้อยเกินไปก็จะส่งผลให้คอมเพรสเซอร์ทำงานตลอดเวลารวมถึงมากจนเกินไป  เพราะอุณหภูมิความเย็นไม่ตรงกับที่ตั้งหรือกำหนดไว้  โดยจะส่งผลเป็นเหตุให้แอร์ทรุดโทรมได้ง่าย รวมทั้งเปลืองไฟฟ้าอีกเช่นกัน
                ต่อมาจะเป็นหลักไม่ยุ่งยาก เกินที่ใครเห็น ก็คงจะช่วยให้ตัดสินใจตัดสินใจแน่นอน ก็คือ การเลือกเครื่องปรับอากาศที่ได้รับฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 เพราะว่านั่นคือ ประสิทธิภาพในการใช้งานพลังงานที่คุ้มที่สุด ซึ่งจะทำให้ประหยัดไฟฟ้าและประหยัดรายจ่ายได้นั้นเอง

Tags : แอร์,เครื่องปรับอากาศ,แอร์ ราคา