สวัสดี บุคคลทั่วไป

ซื้อแอร์อย่างไร ให้เซฟเงินทองในกระเป๋ามากที่สุด

  • 0 ตอบ
  • 229 อ่าน
พอสภาพอากาศมันร้อน เลยก็เลยต้องหาวิธีมาดับอบอ้าวกันสักหน่อย คนชอบรับประทาน ก็มองหาของกินกินดับร้อนกันไป แต่หากผู้ใดต้องการให้บรรยากาศข้างในบ้านไม่ร้อนเหมือนกับนรก ก็คงต้องพึ่งพา "แอร์" หรือ "เครื่องปรับอากาศ" แล้วละ หากใช้แอร์ บางคนก็คงจะต้องวิตกกังวลส่วนเรื่องของรายจ่ายค่าไฟฟ้าที่มันจะตามมาหลังจากนั้น แต่เราจะมีหลักเกณฑ์การเลือกซื้ออย่างใด ให้ได้ทั้งสินค้าน่าพอใจ แล้วก็ยังประหยัดด้วย ไปดูกันเลย
อย่างแรกเราจะจำเป็นต้องพิจารณาถึงแบบของเครื่องปรับอากาศควรให้เหมาะสมกับพื้นที่รวมถึงการทำงาน ซึ่งตอนนี้นั้นมีหลายหลากรูปแบบให้เลือก เพราะว่าแต่ละอย่างก็มีสเปคต่างกันไป หากสมมติซื้อผิดนั้น ก็อาจส่งผลให้ก่อให้เกิดโทษแก่เครื่องปรับอากาศ และยังทำให้เสียพลังงานไปโดยใช่เหตุ โดยหลักๆ แล้ว เครื่องปรับอากาศจะแบ่งเป็นหลายกลุ่ม ได้แก่ เครื่องปรับอากาศติดกำแพง, เครื่องปรับอากาศตั้งพื้น, แอร์ติดฝ้าเพดาน รวมถึง แอร์เคลื่อนที่ ซึ่งแต่ละอย่าง มีลักษณะอย่างไรบ้าง ไปพิจารณากันก่อนดีกว่า
อย่างแรกเป็นเครื่องปรับอากาศติดกำแพง โดยเครื่องปรับอากาศแบบนี้ เป็นที่ใช้มากกันอยู่แล้ว หรือคงจะคุ้นชินกันอยู่ประจำ นั่นแหละ ซึ่งใช้งานที่หลายแบบ มีรูปแบบการออกแบบที่ร่วมสมัย รวมถึงก็มีสัดส่วนกะทัดรัด แล้วยังยังทำให้ลดการใช้ไฟฟ้า และสามารถดูแลรักษาง่าย เพราะแอร์แบบนี้ เหมาะกับห้องขนาดไม่ใหญ่มาก หรือที่พักอาศัย หรือว่าคอนโดทั่วๆ ไป ช่วยให้ตรงตามกับความอยากในการทำงานได้อย่างหลายรูปแบบ
ถัดมาคือเครื่องปรับอากาศตั้งขึ้นพื้น โดยที่แอร์แบบนี้ถือเป็นชนิดที่มีการกระจายความเย็นฉ่ำได้สูง สามารถทำความเย็นได้อย่างรวดเร็ว แล้วยังทนทานในการทำงาน รวมไปถึงทนทานกับมลพิษอีกด้วย เพราะว่าประเภทของเครื่องปรับอากาศจะเป็นชนิดตั้งที่พื้น เหมาะกับห้องที่มีสัดส่วนใหญ่ โรงงาน รวมถึงมีประชากรเยอะ  โดยเครื่องปรับอากาศแบบนี้จะทำงานใช้เสียงดัง จึงส่งผลให้สิ้นเปลืองพลังงานมากกว่าเครื่องปรับอากาศประเภทอื่นๆ
กลุ่มต่อไปคือแบบแอร์ฝังฝ้าเพดาน โดยที่แบบนี้จะคือเครื่องปรับอากาศ 4 ทิศทาง ตัวเครื่องเครื่องปรับอากาศ ท่อน้ำยา รวมถึงท่อน้ำทิ้ง สามารถติดตั้งด้านในฝ้าเพดาน ทำให้สามารถคงทรงความดูดีของห้องได้ตามเดิม ตัดทอนขีดจำกัดในการติดตั้ง โดยเหมาะสำหรับห้องที่จำเป็นในเรื่องความสวยหรู ทำให้ภายในบ้านประณีตเหมือนเดิม  แต่แอร์ชนิดนี้มักจะมูลค่ามักสูงกว่าแอร์ประเภทอื่นๆ
และแบบสุดท้ายคือเครื่องปรับอากาศเคลื่อนที่ โดยเครื่องปรับอากาศลักษณะนี้จะไม่ค่อยซับซ้อนคล้ายกับชนิดก่อนหน้า เพราะแค่เพียงเสียบปลั๊ก ก็ใช้งานได้เลย เพราะแอร์ลักษณะนี้ใช้ได้อย่างเดียวกันกับแอร์ที่อยู่อาศัยธรรมดา แต่ไม่เหมือนใครก็ตรงที่สามารถเคลื่อนย้ายได้ แล้วก็ไม่ต้องติดกับผนังด้วย เหมาะกับคนที่อาศัยหอพัก อพาร์ตเมนต์ คอนโดมิเนียม ดูแลก็ง่ายมาก เหมือนแอร์ธรรมดาเลย
กลับมาที่หลักเกณฑ์การเลือกซื้อกันต่อ ต่อมาก็จำเป็นต้องซื้อสัดส่วนแอร์ให้เข้ากันกับขนาดห้อง ก็เพราะว่าเมื่อทราบขนาดห้องเรียบร้อยแล้วนั้น ก็จะสะดวกกับการเลือกซื้อขนาดของแอร์และการคิดค่า BTU นั่นเอง เพื่อให้เหมาะกับการใช้งานและทำให้
เซฟไฟฟ้า เพราะว่าหลายคนอาจจะยังไม่ทราบว่า BTU คืออะไร ซึ่งมันคือ ขนาดสร้างความเย็นของแอร์ โดยย่อมาจากคำว่า British Thermal Unit ซึ่ง 1 ตันความเย็น จะเท่ากับ 12000 BTU ต่อชั่วโมง ดังนั้นการตัดสินใจ BTU จึงมีความจำเป็น เพราะจะเกี่ยวเนื่องกับ การประหยัดพลังงานกับอายุการทำงานของแอร์นั่นเอง ถ้าหากซื้อแอร์ที่มี BTU สูงเกินพอดี ก็ทำให้ทำงานของคอมแอร์ตัดบ่อย เนื่องจากมีการทำความเย็นได้อย่างรวดเร็ว จึงทำให้ความสามารถข้างในถดถอย รวมทั้งยังมีผลให้ให้มีความชื้นข้างในห้องสูง ส่งผลให้ผู้อาศัยป่วย หรือไม่ก็ไม่สบายได้ อีกทั้งยังส่งผลให้เปลืองพลังงานอีกด้วย หรือสมมติว่าตัดสินใจเครื่องปรับอากาศที่มี BTU น้อยเกินไปก็จะส่งผลต่อคอมแอร์ทำงานทุกเมื่อและหนักจนเกินไป  เพราะอุณหภูมิความเย็นไม่ตรงกับที่ปรับหรือกำหนดไว้  ก็จะส่งผลทำให้เครื่องปรับอากาศพังได้ง่ายๆ รวมถึงสิ้นเปลืองพลังงานอีกเช่นกัน
                ถัดมาก็เป็นหลักง่ายๆ เลยที่ใครเห็น ก็น่าจะต้องทำให้ตัดสินใจเลือกซื้อแน่นอน ก็คือ การเลือกแอร์ที่ได้ฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 เนื่องจากนั่นคือ คุณภาพในการใช้พลังงานที่คุ้มค่าที่สุด ก็จะช่วยประหยัดพลังงานและประหยัดรายจ่ายได้นั้นเอง

Tags : แอร์,เครื่องปรับอากาศ,แอร์ ราคา