สวัสดี บุคคลทั่วไป

เลือกแอร์เช่นใด เพื่อที่จะเซฟเงินในกระเป๋ามากที่สุด

  • 0 ตอบ
  • 239 อ่าน
เมื่ออากาศมันร้อน มันก็เลยต้องหาอะไรเพื่อดับร้อนกันซะหน่อย ใครถนัดทาน ก็ค้นหาอะไรกินคลายร้อนกันไป แต่หากใครต้องการให้บรรยากาศที่บ้านไม่ร้อนอย่างนรก ก็ต้องอาศัย "แอร์" หรือเรียกว่า "เครื่องปรับอากาศ" แล้วละ แต่ถ้าใช้งานแอร์ บางท่านก็คงจะต้องกังวลใจส่วนประเด็นของค่าใช้จ่ายค่าไฟฟ้าที่มันจะตามมาหลังจากนั้น แต่ทุกคนจะมีหลักเกณฑ์การซื้ออย่างใด เพื่อจะได้ทั้งสินค้าคุณภาพ แต่ก็ยังประหยัดด้วย ไปดูกันเลย
อย่างแรกทุกคนจะน่าจะต้องพิจารณาถึงแบบของเครื่องปรับอากาศควรให้พอดีกับที่ตั้งรวมถึงการทำงาน โดยสมัยนี้นั้นมีหลากหลายแบบให้เลือก โดยที่แต่ละอย่างก็มีสเปคแตกต่างกันออกไป โดยหากเลือกผิดนั้น ก็อาจมีผลต่อเกิดผลเสียกับเครื่องปรับอากาศ และยังส่งผลให้เสียพลังงานไปอีก จริงๆ แล้ว แล้วนั้น แอร์จะแบ่งออกเป็นหลากหลายหมวดหมู่ ได้แก่ เครื่องปรับอากาศติดผนัง, เครื่องปรับอากาศตั้งพื้น, เครื่องปรับอากาศติดฝ้าเพดาน รวมทั้ง แอร์เคลื่อนที่ ซึ่งแต่ละประเภท มีรูปลักษณ์แบบใดบ้าง ไปดูกันก่อนดีกว่า
ประเภทแรกเป็นเครื่องปรับอากาศติดกำแพง ซึ่งเครื่องปรับอากาศชนิดนี้ เป็นที่ชื่นชอบกันอยู่แล้ว หรือว่าคงจะคุ้นชินกันอยู่บ่อยๆ นั่นแหละ เพราะว่าใช้งานที่หลากหลาย มีลักษณะการดีไซน์ที่ตามสมัยนิยม รวมถึงก็มีขนาดกะทัดรัด อีกทั้งยังทำให้ลดการใช้ไฟฟ้า และสามารถดูแลไม่ยาก โดยเครื่องปรับอากาศรูปแบบนี้ เหมาะสำหรับห้องสัดส่วนน้อย หรือที่พักอาศัย หรือคอนโดทั่วไป สามารถตรงตามกับความต้องการของการใช้งานได้อย่างหลายแบบ
ต่อมาเป็นแอร์ตั้งขึ้นพื้น โดยเครื่องปรับอากาศรุปแบบนี้คือประเภทที่มีการกระจายความเย็นได้มาก สามารถสร้างความเย็นได้แบบรวดเร็ว และทนต่อการทำงาน รวมไปถึงทนกับมลพิษอีกด้วย โดยที่รูปร่างของเครื่องปรับอากาศจะเป็นแบบติดตั้งบนพื้น เหมาะสำหรับห้องที่มีพื้นที่ใหญ่ โรงงาน รวมถึงมีประชากรหนาแน่น  โดยที่เครื่องปรับอากาศชนิดนี้จะทำงานใช้เสียงดัง ก็เลยส่งผลให้เปลืองไฟฟ้ากว่าเครื่องปรับอากาศอย่างอื่นๆ
ประเภทต่อไปคือแบบเครื่องปรับอากาศติดฝ้าเพดาน ซึ่งกลุ่มนี้จะเป็นเครื่องปรับอากาศ 4 ทาง เครื่องเครื่องปรับอากาศ ท่อน้ำยา รวมถึงท่อน้ำเสีย สามารถติดตั้งข้างในฝ้าเพดาน ทำให้สามารถรักษาทรงความสวยหรูของห้องได้อย่างเดิม ลดข้อจำกัดในการติดตั้ง โดยที่เหมาะสำหรับห้องที่เน้นในเรื่องความเรียบร้อย ทำให้ภายในบ้านเรียบร้อยเหมือนเดิม  อย่างไรก็ตามเครื่องปรับอากาศอย่างนี้จะมีมูลค่าค่อนข้างแพงกว่าเครื่องปรับอากาศแบบอื่นๆ
และอย่างสุดท้ายก็คือแอร์เคลื่อนที่ ซึ่งเครื่องปรับอากาศแบบนี้จะไม่ค่อยยุ่งยากเหมือนกับกับชนิดที่แล้ว ก็เพราะว่าเพียงแค่เสียบปลั๊ก ก็ใช้งานได้เลย โดยแอร์ลักษณะนี้ใช้งานได้อย่างเดียวกันกับเครื่องปรับอากาศที่อยู่อาศัยทั่วๆ ไป แต่ว่าไม่เหมือนแบบอื่นก็ตรงที่สามารถขนย้ายได้ แล้วก็ไม่จำเป็นต้องติดตั้งเข้ากับผนังด้วย เหมาะกับคนที่อยู่หอพัก อพาร์ตเมนต์ คอนโดมิเนียม ทำนุบำรุงก็สะดวกมาก เหมือนแอร์ธรรมดาเลย
ย้อนกลับมาที่เกณฑ์การตัดสินใจซื้อกันต่อ ต่อมาก็ต้องเลือกขนาดเครื่องปรับอากาศให้เข้ากับพื้นที่ห้อง เพราะเมื่อทราบสัดส่วนห้องแล้วนั้น ก็จะง่ายกับการเลือกสรรขนาดของเครื่องปรับอากาศและการคาดคะเนค่า BTU นั่นเอง เพื่อที่จะพอเหมาะกับการใช้งานและช่วย
เซฟพลังงาน โดยหลายคนอาจยังไม่ทราบว่า BTU หมายถึงอะไร โดยมันคือ ขนาดสร้างความเย็นของเครื่องปรับอากาศ โดยย่อมาจากคำว่า British Thermal Unit โดย 1 ตันความเย็น จะเท่ากับ 12000 BTU ต่อชั่วโมง ดังนั้นการตัดสินใจ BTU ย่อมมีความจำเป็น ก็เพราะว่าจะเกี่ยวเนื่องกับ การประหยัดพลังงานและอายุการทำงานของแอร์นั่นเอง ถ้าหากเลือกซื้อเครื่องปรับอากาศที่มี BTU มากเกินไป ก็ทำให้ทำงานของคอมแอร์ตัดบ่อย เนื่องจากมีการทำความเย็นได้อย่างรวดเร็ว จึงทำให้ความสามารถภายในน้อยลง รวมทั้งยังมีผลให้ให้เกิดความชื้นข้างในห้องมาก อาจทำให้ผู้ที่อยู่อาศัยป่วย หรือไม่ก็ไม่สบายได้ อีกทั้งยังทำให้เปลืองพลังงานอีกด้วย หรือสมมติว่าซื้อเครื่องปรับอากาศที่มี BTU ต่ำเกินไปก็จะส่งผลให้คอมเพรสเซอร์ทำงานตลอดเวลารวมทั้งมากจนเกินไป  เพราะอุณหภูมิความเย็นไม่ตรงกับที่ปรับหรือกำหนดไว้  ซึ่งจะมีผลให้ทำให้แอร์ทรุดโทรมได้ง่ายๆ แล้วยังสิ้นเปลืองพลังงานอีกด้วย
                ถัดไปก็เป็นแนวทางง่ายๆ เกินที่ไม่ว่าใคร ก็คงจะทำให้เลือกเลือกแน่นอน ก็คือ การเลือกซื้อเครื่องปรับอากาศที่ได้สลากประหยัดไฟเบอร์ 5 เนื่องจากนั่นหมายความว่า ประสิทธิภาพในการใช้งานไฟฟ้าที่คุ้มที่สุด โดยจะช่วยประหยัดพลังงานและประหยัดเงินได้นั้นเอง

Tags : แอร์,เครื่องปรับอากาศ,แอร์ ราคา