สวัสดี บุคคลทั่วไป

วิธีการสำหรับเลือกซื้อเครื่องชงกาแฟสด มีวิธีการอย่างไรบ้าง?

  • 0 ตอบ
  • 290 อ่าน
สำหรับคนใดที่กำลังคิดอยากจะเปิดร้านกาแฟในฝัน หรืออยากจะมีเครื่องชงกาแฟสดไว้ที่บ้านแน่นอนว่าพวกเราบางครั้งก็อาจจะจะต้องใคร่ครวญหลายๆอย่างในการเลือกซื้อจ้ะ ไม่ว่าจะเป็นทั้งราคาของเครื่อง ซึ่งสิ่งนี้เราน่าจะต้องใคร่ครวญเป็นลำดับแรกสำหรับหลายๆคนถ้าหากมีงบประมาณจำกัด แต่ว่าการซื้อเครื่องชงกาแฟที่ให้ได้รสของกาแฟดีๆขึ้นอยู่กับราคาของเครื่องด้วยจ้ะ เนื่องจากถ้าพวกเราอยากได้กาแฟสดที่เราสามารถชงได้ต่อเนื่อง ประสิทธิภาพของกาแฟดีเลิศ ราคาของเครื่องก็ต้องเป็นราคาที่ค่อนข้างจะสูงเช่นกัน แต่ว่าถ้าพวกเราอยากเลือกซื้อเครื่องชงกาแฟสด ที่ใช้สำหรับค้าขายนั้นควรจะพิจารณาในด้านอะไรบ้าง แต่ละแบบราคาคราวๆมากแค่ไหนเพื่อให้เราเลือกเครื่องให้เหมาะสมกับสิ่งที่เราต้องการนั่นเองจ้ะ


4 วิธีการเลือกเครื่องชงกาแฟให้เหมาะกับการใช้งาน

1.) ระบบเครื่อง

สิ่งที่เราจำต้องไตร่ตรองเป็นสิ่งแรกก็คือระบบเครื่องค่ะ สำหรับในการดูว่าพวกเราจะซื้อเครื่องชงกาแฟสดรุ่นนั้นๆจะนำไปทำอะไร ระบบเครื่องระดับ Commercial แบ่งสำคัญๆออกเป็น 2 แบบ เป็น

            1.1) Heat Exchange (HX) หรือการแลกเปลี่ยนความร้อน โดยคร่าวๆคือเครื่องชงกาแฟจะมี Boiler หรือ หม้อต้ม เพียงชิ้นเดียว เครื่องชงจะดูดน้ำเข้าไปทำความร้อนในหม้อต้ม แล้วก็จะมีท่อน้ำอีกชิ้นวิ่งผ่านใน Boiler เพื่อไปชงกาแฟซึ่งน้ำใน Boiler จะใช้ในก้านสตีม และก็น้ำร้อน ส่วนหัวชงกาแฟจะเป็นคนละส่วนกัน โดยธรรมดาเครื่องชงระบบนี้จะถูกตั้งแรงดัน Boiler ราว 1.2 bar เพื่อให้ได้ตามอุณหภูมิน้ำชงกาแฟที่ 94c ซึ่งเป็นอุณหภูมิที่มักจะใช้เพื่อการชง หากจะให้อุณหภูมิสูงขึ้นหรือน้อยลง ก็ปรับแรงดัน Boiler ตามต้องการ ฉะนั้น ถ้าเกิดใน 10 นาที จะต้องชงกาแฟ 10 แก้ว คุณภาพของแก้วที่ 10 จะไม่ดีเท่าแก้วแรกๆแน่นอน เนื่องจากน้ำร้อนลดลง แต่ถ้าว่าการชงของเราสม่ำเสมอเว้นช่วง 3 – 5 นาที อย่างนี้ก็จะไม่มีปัญหา น้ำจะร้อนทันอย่างแน่นอน แต่ว่าก็ขึ้นอยู่กับขนาด Boiler อีกด้วยเหมือนกันจ้ะ
            1.2) Dual Boiler แล้วก็ Multi Boiler ทั้ง 2 แบบนี้ โดยธรรมดาคล้ายคลึงกัน แต่ว่าจะต่างกันที่ Dual Boiler นั้นจะใช้ เรียกสำหรับเครื่องชงหัวเดียว และ Multi Boiler เป็นเครื่องชง 2 หัวกรุ๊ปขึ้นไป โดยอย่างคร่าวๆจะคล้ายกับ HX แต่ Boiler น้ำร้อนแล้วก็สตีมนม กับ Boiler หัวชงกาแฟจะแยกกัน ทำให้พวกเราสามารถชงต่อเนื่องได้มากขึ้น และก็อีกอย่างหนึ่งคือ พวกเราสามารถปรับอุณหภูมิหัวชงกาแฟผ่านระบบดิจิตอลได้เลย เครื่องชงระดับ Hi-End ก็จะใช้ระบบนี้กันด้วย ทำให้ชงต่อเนื่องสบายๆแต่ว่าเครื่องชงจำพวกนี้จะกินกำลังไฟมากกว่าระบบ HX เพราะว่ามีจำนวน Boiler ที่มากกว่า และก็จะใช้กำลังไฟเพิ่มมากขึ้นเพื่อทำความร้อนให้ทันต่อการใช้งานนั่นเอง
2.) ขนาด Boiler

เครื่องชงกาแฟสดแบบ HX หัวเดียว มีขนาดตั้งแต่ประมาณ 2 – 6 ลิตร แล้วแต่รุ่นรวมทั้งแบรนด์ค่ะ ซึ่งนอกจากระบบแล้ว ขนาดของ Bolier ก็มีส่วนสำคัญที่มีผลต่อราคาเครื่องเหมือนกัน ราคาต้นๆจะเริ่มที่ราวๆ 40,000 ไปจนถึงหลักหลายแสนบาท คุณภาพเพิ่มขึ้นตามราคาที่สูงมากขึ้น ด้วยเหตุนั้นอยู่ที่การใช้งานที่เราต้องการว่าจะเป็นแบบไหนดี
3. รสกาแฟจากเครื่องชง Commercial และก็ Hi-End

ราคาเครื่องชงนั้น ขึ้นกับประสิทธิภาพสำหรับในการชงอย่างต่อเนื่อง ยิ่งเครื่องใดชงกาแฟได้คุณภาพเหมือนๆกันทุกแก้วสม่ำเสมอมากกว่าก็จะราคาสูงขึ้น ส่วน Hi-End นั้น มากกว่าการชงแบบต่อเนื่อง คือรสชาติที่ชัดเจนของกาแฟ จริงๆแล้วเรื่องรสชาตินั้นขึ้นอยู่กับรสนิยมผู้ดื่มด้วย
4.) เครื่องชงตัวเล็ก

เครื่องชงตัวเล็กเป็นเครื่องที่เหมาะกับการใช้งานในบ้านมากกว่าเครื่องชงตัวใหญ่ และแน่ๆว่าในการเปิดร้านกาแฟสดเครื่องชงตัวใหญ่ก็จะเหมาะมากกว่าเครื่องชงตัวเล็ก เนื่องจากไม่ว่าจะเป็นเรื่องความต่อเนื่อง และเรื่องของรสกาแฟที่อร่อยกลมกล่อมมากยิ่งกว่านั่นเองค่ะ ด้วยเหตุผลดังกล่าวแล้วการเลือกเครื่องก็จะต้องนึกถึงเรื่องนี้ด้วยเหมือนกัน

นอกเหนือจากนี้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ ก็ต้องดูว่าเครื่องชงกาแฟสดใช้วัสดุอะไร เช่น สแตนเลสจะคงทนจากการถูกกัดกร่อนของแร่ธาตในน้ำได้ดีมากว่า Boiler ทองแดง หรือในเรื่องของความหนาบางของโลหะที่ใช้ มีการใช้วัสดุเป็นพลาสติกหรือเปล่า อุปกรณ์ปกปิดไม่มิดชิดทั้งหมด เป็นต้น หรือแม้กระทั้งเรื่องแบรนด์ก็เป็นอีกประเด็นที่พวกเราจำต้องใส่ใจจ้ะ เพราะว่าแบรนด์ที่เป็นที่รู้จักในเรื่องกาแฟย่อมเป็นผู้ทำเครื่องชงกาแฟออกมาได้อย่างใส่ใจนั่นเอง