สวัสดี บุคคลทั่วไป

เลือกแอร์เช่นใด ให้ประหยัดเงินในกระเป๋ามากที่สุด

  • 0 ตอบ
  • 217 อ่าน
*

ออฟไลน์ mmhaloha

  • *****
  • 4698
    • ดูรายละเอียด
เมื่ออากาศมันอบอ้าว มันก็เลยต้องหาอะไรเพื่อดับอบอ้าวกันสักหน่อย คนถนัดรับประทาน ก็ค้นหาของกินกินดับร้อนกันไป อย่างไรก็ตามถ้าหากผู้ใดต้องการอากาศภายในที่พักอาศัยไม่ร้อนดั่งนรก ก็คงน่าจะต้องพึ่งพา "แอร์" หรือ "เครื่องปรับอากาศ" นั่นเอง หากใช้เครื่องปรับอากาศ บางคนก็ต้องวิตกกังวลส่วนประเด็นของรายจ่ายค่าไฟที่มันจะไล่ตามมาต่อจากนั้น แต่เราจะมีเกณฑ์การตัดสินใจซื้อยังไง ให้ได้ทั้งของน่าพอใจ แต่ก็ยังประหยัดด้วย ไปดูกันเลย
อันดับแรกทุกคนจะน่าจะต้องพิจารณาถึงแบบของแอร์ควรจะให้พอเหมาะกับที่ตั้งรวมถึงการใช้งาน ซึ่งสมัยนี้นั้นมีหลายรูปแบบให้เลือกหา เพราะแต่ละแบบก็มีคุณลักษณะต่างกันออกไป โดยสมมติซื้อผิดนั้น ก็อาจจะมีผลต่อเกิดผลเสียต่อแอร์ และยังทำให้เปลืองพลังงานไปโดยใช่เหตุ หลักๆ แล้ว แอร์จะแยกเป็นหลายลักษณะ ได้แก่ เครื่องปรับอากาศติดกำแพง, เครื่องปรับอากาศตั้งพื้น, แอร์ฝังเพดาน รวมถึง แอร์เคลื่อนที่ โดยที่แต่ละแบบ มีลักษณะแบบใดบ้าง ไปดูกันก่อนดีกว่า
ประเภทแรกเป็นเครื่องปรับอากาศติดกำแพง โดยที่เครื่องปรับอากาศลักษณะนี้ เป็นที่ชื่นชอบกันอยู่แล้ว หรือน่าจะต้องคุ้นชินกันอยู่เสมอๆ นั่นแหละ เพราะว่าการทำงานที่หลายแบบ และด้วยลักษณะการดีไซน์ที่ตามสมัยนิยม พร้อมด้วยก็มีขนาดกะทัดรัด อีกทั้งยังช่วยลดการใช้ไฟฟ้า แล้วยังสามารถดูแลรักษาสะดวก เพราะเครื่องปรับอากาศรูปแบบนี้ เหมาะสำหรับห้องขนาดเล็ก รวมถึงบ้าน หรือว่าคอนโดทั่วไป ช่วยให้ตรงตามต่อความต้องการในการทำงานได้อย่างหลายแบบ
ถัดมาคือเครื่องปรับอากาศวางพื้น โดยเครื่องปรับอากาศลักษณะนี้เป็นประเภทที่มีการแผ่กระจายความเย็นฉ่ำได้มาก สามารถสร้างความเย็นได้อย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งทนต่อการทำงาน รวมไปถึงทนต่อมลพิษอีกด้วย โดยลักษณะของแอร์จะเป็นรูปแบบติดตั้งที่พื้น เหมาะกับห้องที่มีสัดส่วนใหญ่ โรงงาน รวมถึงมีผู้คนเยอะ  โดยเครื่องปรับอากาศอย่างนี้จะทำงานใช้เสียงดัง จึงส่งผลให้เปลืองพลังงานกว่าเครื่องปรับอากาศแบบอื่นๆ
กลุ่มถัดมาคือกลุ่มเครื่องปรับอากาศติดฝ้าเพดาน โดยกลุ่มนี้จะคือเครื่องปรับอากาศ 4 ทาง ตัวเครื่องแอร์ ท่อน้ำยา รวมถึงท่อน้ำทิ้ง สามารถติดภายในฝ้าเพดาน ส่งผลให้สามารถรักษารูปทรงความดูดีของห้องได้ดังเดิม ตัดทอนขีดจำกัดในการติด โดยเหมาะกับห้องที่มุ่งเน้นในเรื่องความสวยงาม ช่วยให้ในบ้านประณีตเหมือนเดิม  อย่างไรก็ตามเครื่องปรับอากาศลักษณะนี้มักจะสนนราคามักจะสูงกว่าแอร์อย่างอื่นๆ
ส่วนชนิดสุดท้ายคือแอร์เคลื่อนที่ ซึ่งเครื่องปรับอากาศกลุ่มนี้จะไม่ยุ่งยากคล้ายกับอย่างที่แล้ว ก็เพราะว่าเพียงเสียบปลั๊ก ก็ใช้งานได้เลย โดยแอร์แบบนี้ใช้ได้แบบเดียวกันกับแอร์บ้านทั่วๆ ไป แต่ว่าไม่เหมือนประเภทอื่นก็ตรงที่สามารถเคลื่อนย้ายได้ แล้วก็ไม่ต้องติดกับตัวบ้านด้วย เหมาะกับผู้ที่อาศัยหอพัก อพาร์ตเมนต์ คอนโดมิเนียม ทำนุบำรุงก็สะดวกมาก เหมือนเครื่องปรับอากาศทั่วไปเลย
ย้อนกลับมาที่หลักเกณฑ์การซื้อกันต่อ ถัดจากนั้นก็จำเป็นต้องตัดสินใจขนาดแอร์ให้เหมาะกับสัดส่วนห้อง เพราะเมื่อรู้พื้นที่ห้องเรียบร้อยแล้วนั้น มันก็จะไม่ยากกับการเลือกซื้อขนาดของแอร์และการคิดค่า BTU นั่นเอง เพื่อที่จะพอเหมาะกับการใช้งานและช่วย
ประหยัดไฟฟ้า เพราะหลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่า BTU คืออะไร โดยมันหมายถึง ขนาดสร้างความเย็นของแอร์ โดยย่อมาจากคำว่า British Thermal Unit โดยที่ 1 ตันความเย็น จะเท่ากับ 12000 BTU ต่อชั่วโมง เพราะฉะนั้นการเลือก BTU ย่อมมีความสำคัญ เพราะว่าจะเกี่ยวข้องกับ การประหยัดพลังกับอายุการใช้งานของเครื่องปรับอากาศนั่นเอง ถ้าหากซื้อแอร์ที่มี BTU สูงเกินพอดี ก็จะทำให้ทำงานของคอมแอร์ตัดบ่อย เนื่องจากมีการทำความเย็นได้อย่างรวดเร็ว จะทำให้ความสามารถข้างในถดถอย รวมถึงยังมีผลให้ให้เกิดความชื้นภายในห้องมาก ส่งผลให้ผู้ที่อยู่อาศัยป่วย หรือไม่ก็ไม่สบายได้ อีกทั้งยังส่งผลให้เปลืองพลังงานอีกด้วย หรือว่าสมมติว่าเลือกซื้อแอร์ที่มี BTU ต่ำเกินไปก็จะทำให้คอมเพรสเซอร์ทำงานทุกเมื่อรวมถึงมากจนเกินไป  ก็เพราะว่าอุณหภูมิความเย็นไม่ตรงกับที่ตั้งหรือกำหนดไว้  โดยจะมีผลให้เป็นเหตุให้แอร์ชำรุดได้ง่าย แล้วยังสิ้นเปลืองไฟฟ้าอีกเช่นกัน
                ต่อมาจะเป็นหลักการง่ายๆ เกินที่ไม่ว่าใคร ก็ต้องช่วยให้เลือกตัดสินใจแน่นอน คือ การเลือกแอร์ที่ได้รับสลากประหยัดไฟเบอร์ 5 ก็เพราะว่านั่นคือ คุณภาพในการใช้พลังงานที่คุ้มที่สุด ก็จะช่วยประหยัดพลังงานและประหยัดค่าใช้จ่ายได้นั้นเอง

Tags : แอร์,เครื่องปรับอากาศ,แอร์ ราคา