สวัสดี บุคคลทั่วไป

เลือกเครื่องปรับอากาศอย่างไร เพื่อให้ประหยัดเงินในกระเป๋าที่สุด

  • 0 ตอบ
  • 211 อ่าน
เมื่ออากาศมันอบอ้าว มันก็คงจะต้องหาวิธีเพื่อมาหายร้อนกันสักหน่อย ใครชอบทาน ก็ค้นหาอะไรกินดับร้อนกันไป แต่ถ้าผู้ใดต้องการให้อากาศที่บ้านไม่อบอ้าวเหมือนกับนรก ก็คงจำเป็นต้องพึ่งพา "แอร์" หรือเรียกว่า "เครื่องปรับอากาศ" นั่นเอง ถ้าหากใช้งานเครื่องปรับอากาศ บางคนก็ต้องหวั่นใจส่วนประเด็นของค่าใช้จ่ายค่าไฟฟ้าที่มันจะไล่ตามมาทีหลัง แต่ทุกคนจะมีเกณฑ์การเลือกยังไง เพื่อจะได้ทั้งของคุณภาพ แล้วก็ยังประหยัดด้วย ไปดูกันเลย
อย่างแรกทุกคนจะควรจะคำนึงถึงชนิดของแอร์น่าจะต้องให้เหมาะสมต่อสถานที่ในการใช้งาน ซึ่งตอนนี้นั้นมีหลากหลายแบบให้เลือก โดยที่แต่ละแบบก็มีสเปคไม่เหมือนกันออกไป ถ้าสมมติว่าซื้อผิดนั้น ทำให้สามารถส่งผลให้อาจจะผลเสียแก่เครื่องปรับอากาศ รวมถึงยังทำให้เสียพลังงานไปอีก หลักๆ แล้วนั้น เครื่องปรับอากาศจะแบ่งออกเป็นหลายหมวดหมู่ ได้แก่ เครื่องปรับอากาศติดกำแพง, เครื่องปรับอากาศตั้งพื้น, แอร์ฝังเพดาน และ แอร์เคลื่อนที่ โดยแต่ละประเภท ประกอบด้วยลักษณะเป็นอย่างไรบ้าง ไปพิจารณากันก่อนดีกว่า
ประเภทแรกก็คือเครื่องปรับอากาศติดผนัง ซึ่งเครื่องปรับอากาศประเภทนี้ เป็นที่ใช้มากกันอยู่แล้ว หรือน่าจะต้องคุ้นชินกันอยู่ประจำ นั่นแหละ ซึ่งใช้งานที่หลายแบบ และด้วยลักษณะการออกแบบที่ทันสมัย และก็มีสัดส่วนกะทัดรัด อีกทั้งยังช่วยประหยัดไฟฟ้า รวมถึงสามารถรักษาไม่ยาก เพราะเครื่องปรับอากาศแบบนี้ เหมาะกับห้องขนาดน้อย หรือที่พัก หรือคอนโดทั่วๆ ไป สามารถตอบโจทย์ต่อความปรารถนาของการใช้งานได้แบบหลายแบบ
ถัดมาเป็นแอร์วางพื้น โดยที่แอร์ประเภทนี้ถือเป็นประเภทที่มีการกระจายความเย็นฉ่ำได้ดี สามารถทำความเย็นฉ่ำได้แบบรวดเร็ว รวมถึงทนทานในการทำงาน รวมไปถึงทนทานต่อมลพิษอีกด้วย โดยที่ลักษณะของเครื่องปรับอากาศจะเป็นรูปแบบติดตั้งบนพื้น เหมาะสำหรับห้องที่มีสัดส่วนกว้าง โรงงาน รวมทั้งมีประชากรหนาแน่น  โดยที่เครื่องปรับอากาศชนิดนี้จะทำงานใช้อึกทึก จึงทำให้สิ้นเปลืองพลังงานกว่าเครื่องปรับอากาศชนิดอื่นๆ
อย่างถัดมาคือชนิดเครื่องปรับอากาศฝังฝ้าเพดาน ซึ่งกลุ่มนี้จะคือเครื่องปรับอากาศ 4 ทิศทาง เครื่องแอร์ ท่อน้ำยา รวมถึงท่อน้ำทิ้ง สามารถติดข้างในฝ้าเพดาน ส่งผลให้สามารถรักษารูปทรงความประณีตของห้องได้ดังเดิม ตัดทอนขีดจำกัดในการติดตั้ง โดยที่เหมาะสมสำหรับห้องที่จำเป็นในเรื่องความประณีต ทำให้ภายในบ้านเรียบร้อยเหมือนเดิม  แต่เครื่องปรับอากาศประเภทนี้มักมีราคาโดยมากสูงมากกว่าเครื่องปรับอากาศแบบอื่นๆ
และประเภทท้ายที่สุดคือเครื่องปรับอากาศเคลื่อนที่ ซึ่งเครื่องปรับอากาศชนิดนี้จะไม่ยุ่งยากคล้ายกับแบบก่อน ก็เพราะว่าเพียงเสียบปลั๊ก ก็ใช้งานได้เลย โดยที่เครื่องปรับอากาศลักษณะนี้ใช้ได้เหมือนกันกับเครื่องปรับอากาศบ้านทั่วไป แต่ว่าไม่เหมือนอันอื่นก็ตรงที่สามารถเคลื่อนย้ายได้ และก็ไม่ต้องติดตั้งเข้ากับตัวบ้านด้วย เหมาะสมกับคนที่อยู่หอ อพาร์ตเมนต์ คอนโดมิเนียม รักษาก็สะดวกมาก เหมือนกับแอร์ธรรมดาเลย
ย้อนกลับมาที่หลักเกณฑ์การเลือกซื้อกันต่อ ต่อมาก็ควรจะซื้อสัดส่วนเครื่องปรับอากาศให้เข้ากับสัดส่วนห้อง เพื่อที่ถ้ารู้สัดส่วนห้องแล้วนั้น ทำให้ไม่ยากกับการเลือกสรรขนาดของเครื่องปรับอากาศและการคิดค่า BTU นั่นเอง เพื่อพอเหมาะกับการทำงานและทำให้
ประหยัดพลังงาน โดยที่หลายคนอาจยังไม่รู้ว่า BTU หมายถึงอะไร ซึ่งมันหมายถึง ขนาดสร้างความเย็นของเครื่องปรับอากาศ โดยย่อมาจากคำว่า British Thermal Unit โดยที่ 1 ตันความเย็น จะเท่ากับ 12000 BTU ต่อชั่วโมง เพราะฉะนั้นการเลือก BTU จึงมีความจำเป็น เพราะว่าจะเกี่ยวข้องกับ การประหยัดพลังงานรวมทั้งอายุการใช้งานของเครื่องปรับอากาศนั่นเอง ซึ่งหากตัดสินใจเครื่องปรับอากาศที่มี BTU มากเกินไป ก็ทำให้ใช้งานของคอมเพรสเซอร์ตัดบ่อย เนื่องจากมีการทำความเย็นได้อย่างรวดเร็ว จะทำให้ความสามารถด้านในลดลง พร้อมกับยังมีผลกระทบให้มีความชื้นข้างในห้องสูง ทำให้ผู้ที่อยู่อาศัยป่วย หรือเจ็บป่วยได้ อีกทั้งยังส่งผลให้สิ้นเปลืองไฟฟ้าอีกด้วย หรือไม่ก็หากเลือกเครื่องปรับอากาศที่มี BTU น้อยเกินไปก็จะทำให้คอมแอร์ทำงานตลอดเวลารวมทั้งมากจนเกินไป  เพราะว่าอุณหภูมิความเย็นไม่ตรงกับที่ปรับหรือกำหนดไว้  โดยจะมีผลให้ทำให้แอร์ทรุดโทรมได้ง่าย แล้วยังสิ้นเปลืองพลังงานอีกด้วย
                ถัดไปก็คือหลักไม่ยาก เกินที่ไม่ว่าใคร ก็น่าจะต้องทำให้ตัดสินใจเลือกแน่นอน ก็คือ การเลือกเครื่องปรับอากาศที่ได้รับสลากประหยัดไฟเบอร์ 5 เพราะว่านั่นหมายความว่า คุณภาพในการใช้ไฟฟ้าที่คุ้มค่าที่สุด ก็จะทำให้ประหยัดพลังงานและประหยัดรายจ่ายได้นั้นเอง

Tags : แอร์,เครื่องปรับอากาศ,แอร์ ราคา