สวัสดี บุคคลทั่วไป

ตัดสินใจซื้อแอร์อย่างไร เพื่อให้เซฟเงินในกระเป๋ามากที่สุด

  • 0 ตอบ
  • 202 อ่าน
เมื่อสภาพอากาศมันร้อน มันก็เลยต้องหาอะไรเพื่อที่จะหยุดร้อนกันนิดนึง คนถนัดทาน ก็หาอะไรรับประทานดับร้อนกันไป แต่หากใครต้องการบรรยากาศภายในที่พักอาศัยไม่อบอ้าวดั่งนรก ก็น่าจะต้องอาศัย "แอร์" หรือว่า "เครื่องปรับอากาศ" นั่นเอง แต่ถ้าใช้เครื่องปรับอากาศ บางท่านก็ต้องลำบากใจในประเด็นของค่าใช้จ่ายค่าไฟที่มันจะไล่ตามมาหลังจากนั้น แต่เราจะมีหลักเกณฑ์การเลือกซื้ออย่างไร ให้ได้ทั้งของคุณภาพดี แล้วก็ยังประหยัดด้วย ไปดูกันเลย
อันดับแรกทุกคนจะน่าจะต้องพิจารณาถึงแบบของแอร์ควรจะให้พอเหมาะกับที่ตั้งในการทำงาน ซึ่งสมัยนี้นั้นมีหลายรูปแบบให้เลือกสรร เพราะแต่ละแบบก็มีคุณลักษณะแตกต่างกันไป ซึ่งสมมติตัดสินใจผิดนั้น ทำให้สามารถมีผลต่อเกิดโทษกับแอร์ และยังทำให้เปลืองพลังงานไปอีก จริงๆ แล้ว แล้วนั้น แอร์จะแบ่งเป็นหลายประเภท ตัวอย่างเช่น เครื่องปรับอากาศติดกำแพง, เครื่องปรับอากาศตั้งพื้น, เครื่องปรับอากาศฝังเพดาน และ เครื่องปรับอากาศเคลื่อนที่ โดยที่แต่ละแบบ มีลักษณะอย่างไรบ้าง ไปดูกันเลย
ประเภทแรกคือแอร์ติดกำแพง โดยเครื่องปรับอากาศแบบนี้ เป็นที่นิยมกันอยู่แล้ว หรือว่าคงจะคุ้นเคยกันอยู่ประจำ นั่นแหละ ซึ่งใช้งานที่หลากหลาย ประกอบด้วยลักษณะการออกแบบที่ตามสมัยนิยม รวมถึงก็มีขนาดกะทัดรัด แล้วยังยังทำให้ลดการใช้พลังงาน และสามารถดูแลรักษาง่ายๆ โดยแอร์แบบนี้ เหมาะกับห้องพื้นที่ไม่ใหญ่มาก รวมถึงบ้าน หรือคอนโดธรรมดา สามารถตอบโจทย์กับความต้องการกับการใช้งานได้อย่างหลากหลายแบบ
ต่อมาคือเครื่องปรับอากาศตั้งขึ้นพื้น โดยที่เครื่องปรับอากาศรุปแบบนี้เป็นประเภทที่มีการกระจายความเย็นได้สูง สามารถสร้างความเย็นได้อย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งทนทานในการทำงาน รวมไปถึงทนทานกับมลพิษอีกด้วย โดยที่ลักษณะของแอร์จะเป็นรูปแบบติดตั้งที่พื้น เหมาะกับห้องที่มีขนาดใหญ่ โรงงาน รวมถึงมีผู้คนมากมาย  โดยที่เครื่องปรับอากาศแบบนี้จะทำงานใช้เสียงดัง เลยส่งผลให้สิ้นเปลืองไฟฟ้ากว่าแอร์อย่างอื่นๆ
กลุ่มต่อมาคือประเภทเครื่องปรับอากาศติดฝ้าเพดาน โดยกลุ่มนี้จะคือเครื่องปรับอากาศ 4 ทิศทาง เครื่องเครื่องปรับอากาศ ท่อน้ำยา รวมถึงท่อน้ำเสีย สามารถติดตั้งด้านในฝ้าเพดาน ส่งผลให้สามารถรักษาทรงความประณีตของห้องได้อย่างเดิม ลดขีดจำกัดในการติดตั้ง โดยเหมาะสำหรับห้องที่เน้นในเรื่องความสวยงาม ช่วยให้ในบ้านสวยงามอย่างเดิม  แต่ว่าเครื่องปรับอากาศอย่างนี้มักมีสนนราคาโดยมากแพงกว่าเครื่องปรับอากาศอย่างอื่นๆ
ส่วนแบบท้ายที่สุดคือแอร์เคลื่อนที่ ซึ่งแอร์อย่างนี้จะไม่ยุ่งยากเหมือนกับกับแบบก่อน เพราะว่าแค่เสียบปลั๊ก ก็ใช้งานได้เลย โดยที่เครื่องปรับอากาศอย่างนี้ใช้งานได้อย่างเดียวกันกับเครื่องปรับอากาศที่อยู่อาศัยทั่วไป แต่ว่าไม่เหมือนอันอื่นก็ตรงที่สามารถเคลื่อนย้ายได้ รวมทั้งก็ไม่ต้องติดตั้งกับผนังด้วย เหมาะสมกับผู้ที่อยู่หอ อพาร์ตเมนต์ คอนโดมิเนียม ดูแลก็ง่ายมาก เหมือนเครื่องปรับอากาศทั่วๆ ไปเลย
กลับมาที่เกณฑ์การซื้อกันต่อ ต่อมาก็ควรจะตัดสินใจขนาดแอร์ให้เหมาะกับขนาดห้อง เพราะเมื่อทราบสัดส่วนห้องเรียบร้อยแล้วนั้น ทำให้ง่ายกับการเลือกสรรขนาดของเครื่องปรับอากาศและการคำนวณค่า BTU นั่นเอง เพื่อให้เหมาะสมกับการทำงานและทำให้
ประหยัดไฟฟ้า เพราะว่าหลายคนคงยังไม่ทราบว่า BTU หมายถึงอะไร โดยมันก็คือ ขนาดสร้างความเย็นของเครื่องปรับอากาศ โดยย่อมาจากคำว่า British Thermal Unit ซึ่ง 1 ตันความเย็น จะเท่ากับ 12000 BTU ต่อชั่วโมง ดังนั้นการเลือก BTU ย่อมมีความสำคัญ ก็เพราะว่าจะเกี่ยวข้องกับ การประหยัดพลังและอายุการทำงานของแอร์นั่นเอง หากซื้อเครื่องปรับอากาศที่มี BTU มากเกินไป ก็จะทำให้ใช้งานของคอมแอร์ตัดบ่อย เนื่องจากมีการทำความเย็นได้อย่างรวดเร็ว จะทำให้ความสามารถด้านในถดถอย รวมทั้งยังมีผลกระทบให้มีความชื้นข้างในห้องสูง อาจทำให้ผู้ที่อยู่อาศัยป่วย หรือไม่ก็ไม่สบายได้ อีกทั้งยังทำให้สิ้นเปลืองไฟฟ้าอีกด้วย หรือไม่ก็หากเลือกซื้อเครื่องปรับอากาศที่มี BTU ต่ำเกินไปก็จะทำให้คอมเพรสเซอร์ทำงานทุกเวลารวมถึงหนักจนเกินไป  ก็เพราะว่าอุณหภูมิความเย็นไม่ตรงกับที่ตั้งหรือกำหนดไว้  โดยจะทำให้เป็นเหตุให้เครื่องปรับอากาศทรุดโทรมได้ง่ายๆ รวมถึงสิ้นเปลืองไฟฟ้าอีกด้วย
                ถัดไปก็คือหลักง่ายๆ เลยที่ใครเห็น ก็ต้องทำให้เลือกตัดสินใจแน่นอน นั่นก็คือ การตัดสินใจซื้อแอร์ที่ได้รับฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 เพราะว่านั่นหมายถึง ประสิทธิภาพในการใช้งานพลังงานที่คุ้มที่สุด โดยจะทำให้ประหยัดพลังงานและประหยัดรายจ่ายได้นั้นเอง

Tags : แอร์,เครื่องปรับอากาศ,แอร์ ราคา